*** สามารถติดตามเคล็ดลับสุขภาพดีดีที่ไลน์แอดไอดี @HealthyThailand หรือคลิก http://line.me/ti/p/%40healthythailand อย่าลืมคลิกมีกิจกรรมสนุกๆรับของรางวัลด้วยน้า ^

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

รักษาสิวกับ benzac differin retin a ( วิธีการใช้ ความแตกต่าง)

 นังนู๋ ใบชา รักษาสิวกับ benzac differin retin a ( วิธีการใช้ ความแตกต่าง)
เนื่องจาก ที่บ้านเค้า จะเป็น แพทย์ skin กันหลายท่าน  ซึ่งเค้าได้รวบรวมมาให้ฟัง ในภาษา แบบชาวบ้าน ธรรมดาที่เข้าใจง่าย ไม่ใช้ศัพท์ ทางการแพทย์ 


มาเริ่มที่ตัวแรก ที่มีฤิทธิ์ ในการฆ่า เชื้อ แบคทีเรีย ที่เป็นต้นตอ ในการเกิดสิวอักเสบของเรานั้นเอง นั่นก็คือ Clinda - M 
ซึ่งช่วยรักษาอาการอักเสบของสิวบนใบหน้าและลำตัว รักษาการอักเสบบริเวณหนังศีรษะรูขุมขน 
ทาบริเวณที่เป็น หลังล้างหน้า วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ขนาด 10 ml. ราคา 45 บาท ขนาด 15 ml. ราคา 59 บาท
ส่วนผสม คลินด้ามัยซิน ไฮโดรคลอไรด์
จะเป็นน้ำใสๆ มีกลิ่นฉุนๆ หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป 
เวลาทา อาจมีอาการแสบ ร้อน แดงได้ แต่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อผิว
สามารถ ทา บริเวณ หัวสิว เช้า เย็น หลังล้างหน้า หรือบ่อยครั้งที่ต้องการ ( ไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกินวันละ 2 ครั้ง)



 




 

ตัวที่2  
benzac ac จะมีความเข้มข้น ตั้งแต่ 2.5 5 และ 10 เปอรเซนต์
สำหรับผู้เริ่มต้นแนะนำให้ใช้ แค่2.5 % ก่อน แต่ ผล การรักษาที่ดีที่สุด ในวงการแพทย์ คือ 5 %
โดย ผู้เริ่มใช้ครั้งแรกควรทาทิ้งไว้แค่ 5นาที สำหรับ 2.5% เมื่อชินกับตัวยา ให้เพิ่ม เป็น 5% และเพิ่ม ระยะเวลาในการทาให้เป็น 15-20 นาที แต่ไม่ควรเกิน 30 นาที เพราะอาจ ทำให้เกิดอาการ บวม แดง ลอด แสบ และ ผิวหนังไหม้ได้
มาพูดถึง benzac ac 5 % ก่อน
สำหรับ benzac ac 5 % เป็นยา Benzoyl Peroxide (BP) ยี่ห้อหนึ่ง ทำหน้าที่ในการฆ่าเชื้อโรค P acne ซึ่งเป็นสาเหตุของสิว อักเสบ อย่างได้ผล นอกจากนี้ BP  ยังมีคุณสมบัติ ในการผลัดเซลล์ผิวด้วย จึงช่วยให้การลดคอมีโดน หรือสิวอุดตันได้ด้วยเช่นกัน ตัวยา Benzoyl Peroxide มีข้อได้เปรียบกว่ายาฆ่าเชื้อ ชนิดอื่นๆ อย่าง Clindamycin ตรงที่ไม่ทำให้เชื้อดื้อยา

สิ่งที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ Benzoyl Peroxide (BP) ยี่ห้ออื่นๆ คือ
benzac ac จะอยู่ใน water Bsae Gel ซึ่งอ่อนโยนกว่า Bp ส่วนใหญ่  จะเป็นตัวยาที่อยู่ใน Alchol base gel ซึ่งทำให้ระคายเคืองได้มากกว่า

 

วิธีใช้

ผู้เริ่มต้นใช้ คือใช้วันละครั้ง ก่อนล้างหน้าในตอนเย็น ทาบางๆ ทั่วใบหน้า หรือบริเวณที่เป็นสิว เว้นรอบดวงตา ริมฝีปาก และขอบจมูก ที่ระคายเคืองได้ง่าย ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก ด้วนคลีนเซอร์ชนิดอ่อนโยน ที่ไม่ทำให้หน้าแห้งตึง ซับหน้าเบาๆ ให้แห้ง แล้ว บำรุงผิว  จากสกินแคร์ ที่เรารัก เลิฟต่อไปได้เลยนะคะ


แต่สำหรับ คนที่ชินกับตัวยาแล้ว สามาถร แต้มตัวตา บางๆเฉพาะ บริเวณ ที่เป็นสิวข้ามคืนได้นะคะ แต่โดย ส่วนตัวพี่ต่อให้ชินแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะผิวหน้าจะแห้ง และหยาบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เลยคะ
สามารถ หาซื้อได้ตามร้านขายยา ทั่วไป

แนะนำให้ ซื้อที่ร้านขายยา  ทั่วไป ได้ แทบทุกร้าน 



 


 


 


 

ตัวที่3
Differin®  เป็น อนุพันของ retin A ที่พัตนา แล้ว เพื่อให้เกิดอาการ แพ้ และ ระคายเคืองได้น้อย กว่า retin A  มากๆ 
จะเป็นตัวที่ทำ ให้เกิด การผลัดเซลล์ ผิว สามารถ ทาบางๆ และ โดน แสงไฟจากหลอดนีออนได้
Differin® เป็นชื่อการค้าของ Adapalene 0.1% ใช้ทารักษาสิวอุดตัน สิวอักเสบ ในระยะที่เป็นน้อยถึงปานกลาง (1,2) โดย Adapalene เป็นอนุพันธ์ของ Napthoic acid ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยากลุ่ม Retioniods โดยมีฤทธิ์ในการควบคุม เซลล์ Keratinocyte ในการปรับขบวนการแบ่งเซลล์ของผิวหนัง และมีฤทธิ์ต้านการแบ่งเซลล์ ทำให้ลดการอักเสบของสิวได้ด้วย โดยจะมีความเฉพาะเจาะจงกับ Receptor ในผิวหนังชั้นบน (3) Adapalene เป็นยาที่ละลายน้ำได้น้อยมาก การเตรียมยาจึงเป็นการนำให้แขวนเป็นผลึกเล็กๆ ในเจล (aqueous gel) ซึ่งมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก ในความเข้มข้น 0.1 % ทำให้เนื้อครีมเป็นเจล ซึ่งทำให้มีข้อดีคือ ปราศจากส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ และไขมันที่ทำให้เกิดสิวอุดตันและด้วยการมีผลึกเล็กๆ( microcrystal) ทำให้ยาแทรกซึมลึกเข้าผิวหนัง และละลายในต่อมไขมันที่ทำให้เกิดสิวอุดตันได้ดี ซึ่งต่างจาก Retin-A® (Tretinoin gel) ที่มีแอลกอฮอล์เป็นองค์ประกอบจึงทำให้การใช้ Retin-A® เกิดอาการระคายเคืองผิวได้มากกว่า Differin® (4)
ซึ่งมีวิธีการใช้ ข้อควรระวังและอาการไม่พึงประสงค์ คล้ายกับ Retin-A® คือ
วิธีการใช้ - ควรทายาบางๆ วันละ 1 ครั้งก่อนนอน หลังการล้างหน้า (1)
ข้อควรระวัง - หลีกเลี่ยงการทาบริเวณดวงตา ริมฝีปาก จมูก และ บริเวณเยื่อบุผิว (mucous membrane) เมื่อทายาแล้วควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด รวมทั้งแสงจากหลอดไฟ (1)
แต่จากการศึกษาพบว่า Adapalene มีความคงตัวต่อแสงแดด ไม่สลายง่ายเหมือน Tretinoin แต่ก็ยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงแดดเช่นกัน (4)

อาการไม่พึงประสงค์ - แผลผุพอง (Blistering eruption), ผิวแห้ง (Dry skin), ผื่นแดง (Erythema), คัน (Pruritus), ผิวหนังตกสะเก็ด (Scaly skin) มีการศึกษาพบว่าการใช้ Adapalene ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์น้อยกว่าการใช้ Tretinoin (2,4)
โดยสรุปข้อดีของ Differin® คือ ได้ผลในการรักษาเร็ว มีโอกาสระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยกว่า เนื่องจากปราศจากแอลกอฮอล์ และเกิดอาการไม่พึงประสงค์น้อยกว่า Retin-A® อย่างไรก็ตามยาก็ยังมีโอกาสเกิดความไวต่อแสงแดดและแสงจากหลอดไฟได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงเมื่อทายาแล้ว
ราคาค่อนข้างสูง และหาวื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป







 

ตัวสุดท้าย
Retin-A 0.025% เป็นยาใช้สำหรับทารักษาสิว ใช้ทาผิวเพื่อบรรเทาหรือลดความหยาบกร้าน
รอยเหี่ยวย่นบนในหน้า (รอยตีนกา) และจุดด่างดำบนผิว และผิวที่ถูกทำลาย
โดยแสงแดด 
ส่วนประกอบของยา


Retin-A 0.025% มีตัวยาสำคัญคือ tretinoin หรือ retinoic acid ซึ่งมีจำหน่ายในรูปแบบต่างๆดังนี้
ชนิดครีม ประกอบด้วยตัวยา tretinoin 0.025% และ 0.05%
นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของ Butylhydroxytoluol-cream plus acid sorbinic และสารอื่นๆ

 

วิธีใช้ ให้ บีบครีม ในปริมาณ เม็ด ถั่วเขียว แต้มห้าจุด ทาบางๆ ก่อนนอน ห้าม โดนแดด หรือ แสงไฟ แรงๆ เพราะจะทำให้เกิดอาการใหม้ บวม แดง สร้างความเสียหายให้เกิดแก่ ผิวหนังได้
 

สามารถ ลดรอยเหี่ยวย่น ที่มีความลึกไม่มากได้คะ
ถ้าลึกมากแนะนำ ให้ ฉีด botox แทนคะ

 






 

 ลักษณะตัวยาทั้ง 3 ชนิด







 

ขอบคุณที่ติดตามคะ
แวะมาทักทายกันได้ที่
http://www.facebook.com/Nangnubaicha


ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kbaicha&group=15&month=02-2013&date=17

**************

*** สามารถติดตามเคล็ดลับสุขภาพดีดีที่ไลน์แอดไอดี @HealthyThailand หรือคลิก http://line.me/ti/p/%40healthythailand อย่าลืมคลิกมีกิจกรรมสนุกๆรับของรางวัลด้วยน้า ^



วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ใครอยากลดน้ำหนัก "เมล็ดเจีย" ธัญพืชที่ช่วยได้

เมล็ดเจีย (chia) มีเมล็ดกลมรี สีน้ำตาลเทา ขนาดเล็ก มีใยอาหารสูงจนน่าแปลกใจ เมล็ดเจียเพียง 2 ช้อนโต๊ะ มีใยอาหารสูงถึง 11 กรัม ซึ่งมีปริมาณเกือบครึ่งของปริมาณใยอาหารที่สมาคมนักกำหนดอาหาร  ประเทศสหรัฐอเมริกา (America Dietetic Association) แนะนำ โดย 1 วัน ควรได้รับใยอาหาร 25-30 กรัม
เมล็ดเจียกำลังได้รับความนิยมในหมู่ผู้กินอาหารคลีนและผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก โดยนิยมโรยเมล็ดเจียบนอาหารหลายชนิด เช่น สลัดผัก ก๋วยเตี๋ยว ผัดผัก โยเกิร์ต น้ำผลไม้ หรือผสมกับน้ำสะอาดใส่กระติกดื่มเพื่อเพิ่มใยอาหาร หรือใช้เป็นเครื่องดื่มดับความหิวระหว่างวัน

บ้างนิยมแช่เมล็ดเจียพร้อมข้าวโอ๊ต โยเกิร์ต หรือนมถั่วเหลืองข้ามคืน แล้วกินพร้อมผลไม้สดหลายชนิดเป็นอาหารเช้า ใยอาหารปริมาณสูงในเมล็ดเจียช่วยชะลอการย่อยและดูดซึมน้ำตาล มีผลชะลอระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้อิ่มนาน ส่งผลให้กินขนมจุบจิบและอาหารในมื้อหลักลดลง น้ำหนักจึงลดลงตาม
หนังสือ Super Seeds ระบุว่า เมล็ดเจียอุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เช่น แคลเซียมฟอสฟอรัส แมงกานีส ทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง (A High-Quality Source) เพราะมักรดแอมิโน จำเป็นคบทั้ง 9 ชนิด เมล็ดเจีย 1 ช้อนโต๊ะ มีโปรตีน 4 กรัม ซึ่งเป็นโปรตีนที่ใกล้เคียงกับเนื้อปลา 1 ช้อนโต๊ะ แต่มีโปรตีนมากกว่าข้าวขัดขาวมาก เราต้องกินข้าวขัดขาวถึง 2 ทัพพี จึงจะได้ปริมาณโปรตีนเท่ากัน
เมล็ดเจียสามารถดูดซับน้ำได้ถึง 9 เท่าของน้ำหนักแห้ง ก่อนกินจึงควรแช่น้ำอย่างน้อย 10 นาที  เพื่อให้เมล็ดเจียดูดน้ำและพองตัวเต็มที่ หรือดื่มน้ำตามหลัง มิฉะนั้นอาจทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินอาหารและทำให้ท้องผูก
เมล็ดเจีย  ข้างโอ๊ต  อาหารเช้าข้ามคืน ส่วนผสม (สำหรับ  2 ที่ )
เมล็ดเจีย          2 ช้อนโต๊ะ
ข้าวโอ๊ต (Old Fashioned Rolled Osts)       1/3 ถ้วย
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ      1/4 ถ้วย
นมอัลมอลด์  หรือนมถั่วเหลือง       1/2  ถ้วย
ผลไม้สดตามชอบ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ แอ๊ปเปิ้ล       1/4 ถ้วย
วิธีทำ
1. ใส่ส่วนผสมทุกอย่าง (ยกเว้นผลไม้สด) ลงในขวดโหลหรือแก้วที่มีฝาปิด คนให้เข้ากัน
2. หั่นผลไม้สดขนาดพอดีคำ วางด้านบนส่วนผสมแล้วปิดฝาให้สนิท 
3. นำไปแช่ตู้เย็นในช่อธรรมดา ทิ้งไว้ 1 คืน กินเป็นอาหารเช้าแสนอร่อย
ข้อมูลและภาพ thaijobsgov.com

10 ท่านอนบอกความสัมพันธ์ของคู่รัก! แล้วคู่ของคุณละนอนท่าไหน?

ปกติเวลานอนจะเป็นความรู้สึกที่อยู่ในจิตใต้สำนึก เป็นการอ่านความสัมพันธ์ของคู่รักจาก 10 ท่าการนอน ว่าคุณและเขากำลังคิดอะไรอยู่?
1. แบบสปูน (Spoon) นอนหันหน้าไปทางเดียวกัน ผู้ชายโอบกอดผู้หญิงไว้จากด้านหลัง 
จากผลการวิจัย 1ใน 5 ท่านอนของคู่รักจะเป็นแบบสปูน ซึ่งแสดงว่าฝ่ายชายมีความเป็นผู้นำ ต้องการที่จะปกป้องผู้หญิงที่ตัวเองรัก และมีความมั่นคงในความสัมพันธ์  
2. แบบเดอะรูสสปูน (The Loose Spoon) นอนหันหน้าไปทางเดียวกัน ผู้ชายโอบกอดผู้หญิงไว้จากด้านหลัง แต่มีระยะห่าง ไม่นอนแนบชิดกัน
บางเวลาก็เริ่มเบื่อที่จะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ทั้งคู่อยากมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าอยากจะเลิกกันหรืออะไร ความรักของคุณทั้งคู่ยังมั่นคงอยู่ ความรักของคู่คุณอาจจะไม่ได้หวานเท่ากับคู่แรก แต่ฝ่ายชายก็ยังคง "ต้องการปกป้อง" ฝากหญิงอยู่ 
3. แบบเดอะเชส (The Chase) นอนหันหน้าไปทางเดียวกัน ผู้หญิงโอบกอดผู้ชายไว้จากด้านหลัง 
ถ้านี้ฝ่ายหญิงจะเป็นคนโอบกอดฝ่ายชายจากด้านหลัง นั้นก็แสดงว่าผู้หญิงต้องการเป็นผู้นำ และต้องการให้อีกฝ่ายรักตนเอง หรืออีกในหนึ่งคือต้องการความเป็นส่วนตัว 
4. แบบเดอะแทงเกิร์ล (The Tangle) แบบนอนตระคองกอดเกี่ยว
ท่านอนแบบนี้เห็นได้น้อยมาก! ส่วนใหญ่คู่รักที่นอนแบบนี้คือตอนที่ไปฮอร์นีมูนกัน หรือเป็นช่วงแต่งงานใหม่ๆ รักยังหวานชื่นอยู่ และแสดงให้เห็นว่าคู่ของคุณต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน นอกจากนั้นไม่อยากที่จะห่างกันเลยแม้เพียงวินาที 
5. แบบเดอะอันลาเวริ่ง น็อต (The Unraveling Knot)
ท่านี้เปรียบเสมือนทั้งคู่ต้องการที่จะเดินจับมือไปด้วยกัน และอยากให้ความสัมพันธ์แนบชิดกว่าเดิม แต่ยังต้องมีช่องว่างให้กันบ้าง 
6. แบบลิเบอร์ตี้ (Liberty) นอนหันหลังให้กัน ซึ่งมันจะหมายถึงทั้งสองคนให้เกียรติกันและกันรวมทั้งสองคนยังรู้จักนิสัยกันดีอีกด้วย 
ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มที่จะมีระยะห่าง ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ละคนยังรู้สึกเชื่อมต่อกัน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นอิสระจากกันมากพอที่จะนอนห่างกันได้ มีความคุ้นเคยต่อกันและกันเป็นอย่างดี และยอมรับในพฤติกรรมการนอนของคนรักได้  
7. แบบเดอะแบล็ค คิสเซอร์ (The Back Kissers) หันหลังแต่ก้นยังชิด  
ถ้าคุณและเขานอนท่าหันหลังให้กันแต่ก้นยังชิดกันอยู่ก็แสดงว่าเป็นท่าที่แต่ละฝ่ายต่างรู้สึกสบาย ๆ ต่อกัน ทั้งยังรู้สึกถึงความใกล้ชิด แต่ก็ผ่อนคลาย
8. แบบเดอะ โรแมนติก (The Romantic) ผู้หญิงนอนแนบข้าง ใบหน้าซบอก ฝ่ายชายโอบไหล่
เป็นท่านอนที่ฝ่ายหญิงอยู่ในอ้อมแขนของฝ่ายชาย ส่วนขาก็ไขว่กัน แสดงว่าความสัมพันธ์ของคุณทั้งสองหวานชื่น ท่านอนยอดฮิตที่พบเห็นได้บ่อยในหนัง แสดงออกถึงรักที่สดใหม่ หรือรักที่เต็มไปด้วยความปรารถนา และแสดงให้เห็นว่าฝ่ายหญิงเชื่อใจที่จะให้ผู้ชายคนนี้ปกป้องดูแล 
9. แบบเดอะเลคฮัก (The Leg Hug)  ผู้หญิงนอนคว่ำ แต่เอาขาข้างหนึ่งพาดไว้กับขาของฝ่ายชาย
ถ้าคุณนอนท่านี้แสดงว่า ความสัมพันธ์ที่มีความห่วงใยซึ่งกันและกัน แต่ก็ไม่ตีกรอบให้คนรักได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และไม่ต้องการพลาดจากัน 
10. แบบเดอะสเปซฮ็อก (The Space Hog) 
ถ้าอีกฝ่ายนอนแบบในรูปนี้ แสดงว่าทั้งคู่มีความเห็นแก่ตัว เพราะไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีที่นอนหรือเปล่า หรืออีกความหมายหนึ่งแสดงว่าความรักของคุณและเขาค่อนข้างจืดจาง
การวิจัยนี้ไม่ได้ดูแค่ท่านอนเท่านั้น แต่ยังดูไปถึงการวางศีรษะเวลานอนอีกด้วย! หลังจากอ่านบทความนี้ทำให้คุณเข้าใจคู่รักของคุณมากขึ้นหรือไม่ วิธีการนอนก็ยังบ่งบอกถึงการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะอย่างไร คุณและเขานอนอยู่บนเตียงเดียวกัน 

8 ปัจจัย หุ่นเสีย ผิวเสีย สุขภาพเสื่อม

หุ่นเซี๊ยะ ผิวสวย แข็งแรงง่ายๆ ด้วยพลังธรรมชาติใกล้ตัว

       ทุกวันนี้ เราต้องเจอกับสารพัดปัจจัยรอบตัวทำให้เรา “เสียสวย” ทั้งหุ่นเสีย เอวหาย พุงหลาม ห่วงยางออก ผิวเสียหมองคล้ำไม่มีออร่า หน้าไม่เด้งไม่ปัง มีริ้วรอย ภูมิคุ้มกันไม่ดี ป่วยง่าย สุขภาพเสื่อม สารพัดโรคร้ายเบียดเบียน ทั้งคลอเรสเตอรอลสูง เบาหวาน มะเร็ง โรคไต โรคตับ โรคหัวใจถามหา
8 ปัจจัย “หุ่นเสีย ผิวเสีย สุขภาพเสื่อม” 
1. กินจุบกินจิบ – กินไม่เป็นเวลา กินไม่เป็นมื้อ กินขนมไปทำงานไป เสี่ยงไขมันอุดตัน เบาหวาน 
2. ติดหวาน – เติมน้ำตาลทรายในอาหาร ดื่มน้ำหวาน นานไปเบาหวานถามหา เสี่ยงต่อมะเร็ง
3. ใจไม่แข็ง – เจอของโปรดอดไม่ได้ทุกที ทั้งหมูปิ้ง เค้ก ชานมไข่มุก กาแฟเย็น สุขภาพเสียสะสม
4. เครียด – งานยิ่งเครียด ยิ่งต้องหาของหวานๆ เย็นๆ มาคลายเครียด โรคภัยรุมเร้า 
5. ไม่มีเวลา – งานยุ่ง กินอะไรก็ได้ง่ายๆ เร็วๆ เลยต้องพึ่งอาหารเสริม สะสมในร่างกายนานตับไตพัง
6. ขี้เกียจออกกำลังกาย – งานเยอะ จะเอาเวลาที่ไหนไปออกกำลัง เสี่ยงเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด สารพัดโรคถามหา 
7. ระบบขับถ่ายไม่ดี – กินแต่แป้ง เนื้อสัตว์ ทำให้ระบบขับถ่ายก็ไม่ดี เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้ ควร “ดีท็อกซ์” เอาของเสียออกจากร่างกายบ้าง
8. แสงแดดและมลภาวะ – ฝุ่นควัน ไอเสีย แสงแดดที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ยิ่งทำลายเซลล์ผิว เพิ่ม “อนุมูลอิสระ” ทำให้ผิวและสุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมก่อนวัย

พลังจากธรรมชาติใกล้ตัว ที่จะช่วยให้หุ่นเซี๊ยะ ผิวสวย ร่างกายแข็งแรง

        สถาบันวิจัยคาโกเมะ ประเทศญี่ปุ่น กล่าวถึง “พลังจากผัก หรือ ยะไซโนะ ชิคาระ” ว่าเป็นพลังธรรมชาติใกล้ตัว และเป็น “ยาอายุวัฒนะ” ที่มี “โพลีฟีนอล” และ “ไฟเบอร์” สูง ช่วยต้านโรคอ้วน ช่วยเผาผลาญพลังงานและไขมัน ช่วย “ดีท็อกซ์” ของเสียและสารพิษออกจากตัวเรา ช่วยให้เรามีสุขภาพผิวพรรณและร่างกายแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอกอย่างแท้จริง ต้านทานโรคภัย เพิ่มภูมิคุ้มกัน และยังช่วยให้มีอายุยืนยาว
โดยแนะนำให้บริโภคผักและผลไม้เป็นประจำเพื่อผิวพรรณและสุขภาพที่ดี ซึ่งถ้าไม่ชอบทานผักสด ก็สามารถดื่มในรูปแบบของน้ำผลไม้ได้ และยังได้แนะนำ “ผักและผลไม้ 35 ชนิด” ที่มีคุณประโยชน์ทั้งต่อรูปร่าง ผิวพรรณ และสุขภาพ
– แอปเปิ้ล ทับทิม แบล็คเคอร์แรนท์ อะเซโรลาเชอรี่ เลมอน เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วย วิตามินและเกลือแร่ชนิดต่างๆ อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพสูงในการ “ต่อต้านอนุมูลอิสระ” อาทิ ช่วยให้ผิวพรรณดี สุขภาพแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก
– พรุน มี “ไฟเบอร์” และ “วิตามินซีสูง” ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ดีท็อกซ์ของเสียออกจากร่างกาย
– มะเขือเทศ มี “ไลโคปีน” สูง ช่วย “ต้านอนุมูลอิสระ” ช่วยให้ผิวขาว ลดการทำงานของเม็ดสีผิว เพิ่มคอลลาเจนผิว ช่วยให้ผิวสวย แก้มแดง ช่วยควบคุมไขมันในเส้นเลือด ต้านมะเร็ง ช่วยให้สุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก และชะลอความแก่ (Anti-aging)
– ผักสีม่วง เช่น แครอทม่วง มี “โพลีฟีนอล” สูง เป็น “สารต้านอนุมูลอิสระ” ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผิวและสุขภาพดี ลดสารก่อมะเร็ง และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
– ผักสีเขียว 25 ชนิด ได้แก่ ผักสลัดร็อกเก็ต ผักกาดคอส ผักกาดหัว ผักกาดแก้ว ผักกวางตุ้ง บล็อกโคลี่ ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี ผักกาดเขียว ผักกาดหอม ผักกาดหอมใบแดง ผักคะน้า ผักโขม ผักชี ผักชีลาว ผักชีล้อม พาสเลย์ กระเทียมต้น หอมจีน กรีนเคล แบล็คเคล เรดเคล กรีนชาร์ต เรดชาร์ด แดนดิไลออน “ไฟเบอร์” สูง ช่วยลดความอ้วนและลดน้ำหนัก ขัดขวางการดูดซึมไขมัน
– แครอทส้ม มี “เบต้าแคโรทีน” สูง ช่วย “ต่อต้านอนุมูลอิสระ” สาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บ ยับยั้งเซลล์ของมะเร็ง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา ทำให้ผิวดี และชะลอความแก่ (Anti-aging)
– บีท มี “โพลีฟีนอล” สูง ช่วย “ต่อต้านอนุมูลอิสระ” สาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บ ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา ผิวสวย และชะลอความแก่ (Anti-aging)
 เรดิช มี “ไฟเบอร์” สูง แคลอรี่ต่ำ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง
 – หัวหอมใหญ่ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ รักษาโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิต
         เห็นไหมคะพลังจากผักและผลไม้รวมกว่า 35 ชนิดเป็นพลังจากธรรมชาติที่อยู่ใกล้ตัว และให้คุณประโยชน์มากมาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวพรรณดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง ภูมิคุ้มกันดี ต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ดี ได้เวลาแล้วนะคะที่เราจะเริ่มต้นดูแลตัวเองทุกวัน ดีท็อกซ์อะไรที่ไม่ดีๆ ทั้งผิวเสีย หุ่นเสีย สุขภาพเสื่อม ออกไปจากตัวเรา และอย่าลืมดื่มน้ำผักและผลไม้รวมสกัดเข้มข้นเป็นประจำนะคะ รับรอง “ช็อตเดียว…เอาอยู่” ขอให้สวยใส สุขภาพดีทุกท่านนะคะ

รักษาไว้ มารยาทไทยเรา

มารยาทไทย

มารยาทไทย คือ กิริยา วาจาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การยืน การเดิน การนั่ง การนอน การรับของส่งของ การทำความเคารพ การแสดงกิริยาอาการ การรับประทานอาหาร การให้และรับบริการ การทักทาย การสนทนา การใช้คำพูด การฟัง การใช้เครื่องมือสื่อสาร รวมทั้งการประพฤติปฏิบัติในพิธีการต่างๆที่สุภาพเรียบร้อยที่บุคคลพึงปฏิบัติในสังคมโดยมีระเบียบแบบแผนอันเหมาะสมตามกาลเทศะ และถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของคนไทย 

มารยาทไทยที่กำหนดขึ้นไว้เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ มีดังนี้

 
          
1.การแสดงความเคารพ อันเป็นมารยาทของคนไทย นิยมการประนมมือ การไหว้ และการกราบ
-การประนมมือ (อัญชลีกรรม) คือ การกระพุ่มมือทั้งสองประนมให้ฝ่ามือทั้งสองประกบกันนิ้วทุกนิ้วแนบชิดติดกันไม่เหลื่อมล้ำกันหรือกางออกห่าง กระพุ่มมือที่ประนมนี้ไว้ระหว่างอกให้ตั้งตรงขึ้นข้างบนมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม แนบศอกทั้งสองข้างไว้ชิดกับชายโครง ไม่ปล่อยให้กางออกไปรักษาระดับกระพุ่มมือไว้ระหว่างอก เป็นการแสดงความเคารพเวลาสวดมนต์ หรือฟังสวดมนต์และฟังเทศน์


-การไหว้ (นมัสการ) คือ การยกมือที่ประนมขึ้นจรดหน้าผาก นิ้วหัวแม่มือทั้งสองอยู่ระหว่างคิ้วพร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อย ใช้แสดงความเคารพพระภิกษุสามเณร หรือปูชนียวัตถุปูชนียสถาน ในขณะที่ผู้ไหว้นั่งบนเก้าอี้หรือยืนอยู่ การไหว้บุคคลผู้อาวุโสกว่าให้ปล่อยมือจรดจมูกหรือคิ้ว การไหว้ผู้เสมอกันให้ประนมมือไหว้ระดับอก
-การกราบ (อภิวาท) คือ การแสดงอาการกราบราบลงกับพื้นด้วยเบญจางคประดิษฐ์ คือด้วยองค์ประกอบห้าอย่าง ได้แก่ เข่าทั้งสอง ฝ่ามือทั้งสอง และศีรษะอันได้แก่ หน้าผากให้จรดกับพื้นเป็นอาการแสดงความเคารพอย่างสูงต่อ พระรัตนตรัย มีขั้นตอนการปฏิบัติ ดังนี้
               ท่าเตรียมตัว นั่งคุกเข่า (ชายตามแบบชาย หญิงตามแบบหญิง) มือทั้งสองทอดวางเหนือเข่าทั้งสองให้นิ้วมือทั้งห้าแนบชิดกัน
                   -  จังหวะที่หนึ่ง ยกมือขึ้นประนมไว้ระหว่างอก ตามแบบการประนม
                   -  จังหวะที่สอง ยกมือที่ประนมขึ้นจรดหน้าผาก โดยให้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองอยู่ระหว่างคิ้วตามแบบการไหว้ พระรัตนตรัย
                   -  จังหวัะที่สาม ก้มตัวลง ปล่อยมือทั้งสองให้ทอดลงกับพื้นโดยแบมือทั้งสองให้ข้อศอกต่อกับเข่าทั้งสอง ข้าง (สำหรับชาย) และให้ศอกทั้งสองข้างขนาบเข่าทั้งสองไว้(สำหรับหญิง) ให้ระยะมือทั้งสองห่างกันประมาณ ห้านิ้ว ก้มศีรษะให้หน้าผากจรดพื้นในระหว่างมือทั้งสองแล้วยกมือประนมขึ้นผ่านจังหวะ ที่หนึ่สอง และสามไปตามลำดับให้ต่อเนื่องกันทำติดต่อกันไปจนครบสามครั้ง
               เมื่อครบสามครั้งแล้วพึงยกมือขึ้นไหว้ตามแบบพระรัตนตรัย แล้วเปลี่ยนอริยาบทเป็นนั่งพับเพียบหรือลุกขึ้นตามกาลเทศะ
  

-ศพพระสงฆ์จะกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์สามครั้งก็ได้ สำหรับนาคกราบลาบวช หรือจะกราบบิดามารดาตอนรับผ้าไตรใช้แบบเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้ง
   - การกราบบุคคล และกราบศพ เป็นการกราบด้วยวิธีกระพุ่มมือ และกราบเพียงครั้งเดียวไม่แบมือ ดังนี้
               1)  หากบุคคลหรือศพอาวุโสกว่าให้ประนมมือไหว้ ให้ปลายนิ้วจรดจมูก หรือจรดหว่างคิ้วก็ได้ถ้าคนเสมอกันประนมมือเพียงระหว่างอก
               2)  นั่งพับเพียบเก็บเท้า ตามแบบนั่งพับเพียบ
               3)  หมอบลงตามแบบหมอบ
               4)  มือทั้งสองกระพุ่มทอดลงกับพื้นไม่แบมือ
               5)  ก้มศีรษะลงจรดสันมือ กราบเพียงครั้งเดียว
               6)  เสร็จแล้วลุกขึ้นนั่งพับเพียบตามปกติ
2.การยืน ที่ควรทราบและถือปฏิบัติทั้งในเวลายืนตามลำพัง ยืนต่อหน้าผู้ใหญ่ และยืนแสดงความเคารพในโอกาสต่างๆ ดังนี้
1) การยืนตามลำพัง ควรอยู่ในลักษณะสุภาพ สบาย ขาชิด ตั้งตัวตรง ไม่หันหน้าหรือแกว่งแขนไปมา
 
2) การยืนต่อหน้าผู้ใหญ่ ควรยืนตรง ขาชิด ปลายเท้าห่างกันเล็กน้อย มือทั้งสองแนบข้างลำตัว ถ้าอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสสูงหรือพระสงฆ์ หรือเป็นการยืนหน้าที่ประทับควรค้อมส่วนบนตั้งแต่เอวขึ้นไปเล็กน้อยมืออยู่ ในลักษณะคว่ำซ้อนกัน จะเป็นมือข้างไหนทับมือข้างไหนก็ได้ หรือจะประสานมือทั้งสองอย่างหลวมๆ หงายมือทั้งสองสอดนิ้วเข้าระหว่างช่องนิ้วของแต่ละมือก็ได้
 
3) การยืนถวายความเคารพพระมหากษัตริย์หรือพระมเหสี  ถ้าแต่งเครื่องแบบให้ยืนตรง แล้วกระทำวันทยาหัตถ์ ถ้าไม่ได้สวมหมวก ให้ยืนตรงแล้วถวายคำนับ การถวายคำนับให้ก้มศีรษะ และส่วนไหล่ลงช้า ๆ ให้ต่ำพอสมควรแล้วกลับมายืนตรง อย่าผงกศีรษะ ถ้าสวมหมวกอื่นที่มิใช่ประกอบเครื่องแบบต้องถอดหมวกก่อนแล้วจึงถวายคำนับ
สำหรับหญิง ให้ยืนตรงเท้าชิด หันหน้าไปทางพระองค์ท่าน ชักเท้าข้างใดข้างหนึ่งไปทางหลังโดยวาดปลายเท้าไปทางอีกด้านหนึ่งของเท้าที่ ยืน ทำพร้อมกับย่อเข่าอีกข้างหนึ่งลงช้าๆ เมื่อจวนจะต่ำสุดให้ยกมือทั้งสองวางประสานกันบนหน้าขาที่ย่อให้ต่ำลง โดยให้หน้ามือประสานกันและให้ค่อนไปทางเข่า ก้มศีรษะลงเล็กน้อย จากนั้นเงยศีรษะขึ้นพร้อมกับชักเท้าที่ไขว้กลับที่เดิมและตั้งเข่าตรง
 
4) การยืนแสดงความเคารพเมื่อมีการบรรเลงเพลงเคารพ เพลงเคารพได้แก่เพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงมหาฤกษ์ และเพลงมหาชัย
           เมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมีให้ยืนขึ้นแล้วระวังตรง หันหน้าไปทางพระองค์ท่านหรือพระบรมฉายาลักษณ์หรือประธานที่ชวนเชิญถวายพระพร ในขณะนั้นให้ยืนตรงอยู่จนจบเพลง ถ้าเป็นการบรรเลงที่ปรากฏพระองค์ต้องถวายความเคารพเมื่อเห็นพระองค์ครั้งหนึ่ง
           เมื่อได้ยินเพลงชาติให้ยืนตรงจนจบเพลง แล้วจึงเปลี่ยนอิริยาบถเป็นอย่างอื่นแล้วแต่กรณี
           เมื่อได้ยินเพลงมหาฤกษ์ ซึ่งใช้ในการเริ่มพิธีสำคัญๆให้ยืนขึ้นอย่างสุภาพหันหน้าไปทางประธานในพิธี เมื่อจบเพลงแล้วจึงเปลี่ยนอิริยาบถเป็นอย่างอื่นแล้วแต่กรณี
           เมื่อได้ยินเพลงมหาชัย ซึ่งใช้แสดงความเคารพต่อพระบรมวงศานุวงศ์ ควรปฏิบัติเช่นเดียวกับได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี
5) การยืนต่อหน้าพระที่นั่ง ในเวลาที่อยู่ต่อหน้าพระที่นั่งเวลาจะลุกขึ้นยืนหรือเคลื่อนที่ไปไหน ต้องถวายความเคารพก่อนทุกครั้ง การยืนรับเสด็จเวลาเสด็จพระราชดำเนินผ่านสำหรับชายยืนตรงถวายคำนับ หญิงถอนสายบัว ถ้าแต่งเครื่องแบบและสวมหมวกให้ทำวันทยาหัตถ์
3.การเดิน จัดเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้ คือ การเดินตามลำพัง การเดินกับผู้ใหญ่ การเดินนำเสด็จ และตามเสด็จและการเดินไปในโอกาสต่างๆ 
1) การเดินตามลำพัง ให้เดินอย่างสุภาพ หลังตรง ก้าวเท้าไม่ยาวไม่สั้นเกิน ควรแกว่งแขนแต่พองาม
2) การเดินกับผู้ใหญ่ ให้เดินทางซ้ายเยื้องมาทางหลังของผู้ใหญ่ อยู่ในลักษณะนอบน้อมไม่ส่ายตัว โยกศีรษะ ถ้าเป็นการเดินระยะใกล้ๆ มือทั้งสองควรประสานกัน
3) การเดินนำเสด็จและตามเสด็จ ควรปฏิบัติดังนี้
– การเดินนำเสด็จ ให้เดินหน้าระยะห่างพอสมควรทางด้านซ้ายของพระองค์ท่าน ในกรณีที่เสด็จพระราชดำเนินบนลาดพระบาท ผู้เดินนำเสด็จต้องไม่เดินบนลาดพระบาทให้เดินในลักษณะเอียงตัวน้อย ๆ มาทางพระองค์ท่าน เพื่อได้สังเกตทราบหากจะประทับยืนค้อมร่างกายส่วนบนเล็กน้อย มือทั้งสองประสานกัน และยกขึ้นเหนือแนวเข็มขัดเล็กน้อยเมื่อถึงที่จะอัญเชิญประทับ ซึ่งเท่ากับกราบบังคมทูล ฯ ว่าถึงที่ประทับแล้วเมื่อจะถอยออกไป ให้ถวายคำนับครั้งหนึ่ง ก่อนที่ผู้นำจะนั่งที่ ต้องถวายคำนับอีกครั้งหนึ่ง
- การเดินตามเสด็จ  ให้เดินเบื้องหลังพระองค์ท่านในอิริยาบถเดินกับผู้ใหญ่ คือเดินอย่างสุภาพหน้ามองตรง อยู่ในอาการสำรวมไม่ยิ้มหัวทักทาย หรือทำความเคารพพูดคุยกับผู้อื่น
4) การเดินเข้าสู่ที่ชุมชน ควรเดินเข้าไปอย่างสุภาพ เมื่อผ่านผู้ที่นั่งอยู่ก่อน ควรก้มตัวลงเล็กน้อยmถ้าผู้นั่งเป็นผู้อาวุโสมากก็ก้มตัวให้มาก และระวังอย่าให้เสื้อผ้าหรือร่างกายไปกรายผู้อื่น ถ้าไม่มีการกำหนดที่นั่งก็ให้นั่งเก้าอี้ที่สมควรโดยสุภาพ อย่าลากเก้าอี้ให้ดังอย่าโยกย้ายเก้าอี้ไปจากระดับที่ตั้งไว้
           การเข้าสู่ที่ชุมนุมที่นั่งกับพื้นควรเดินอย่างสุภาพ เวลาผ่านผู้ที่นั่งอยู่ก่อนควรค้อมตัวลงให้มากหรือน้อยสุดแท้แต่ระยะใกล้ หรือระยะไกล ระวังอย่าให้เสื้อผ้าหรือส่วนของร่างกายไปกรายผู้อื่นถ้าผ่านระยะใกล้มากใช้การเดินเข่า
           วิธีการเดินเข่าให้นั่งคุกเข่าตัวตรง มืออยู่ข้างลำตัวแกว่งได้เล็กน้อย ยกเข่าขวาซ้ายไปข้างหน้าสลับข้างกันปลายเท้าตั้งช่วงเท้าพองาม ไม่กระชั้นเกินไป การเดินเข่าไม่นิยมใช้ในกรณีเข้าเฝ้าหรือเข้าพบผู้ใหญ่
5) การเดินในที่ที่พระมหากษัตริย์หรือพระมเหสีประทับอยู่ เวลาเดินผ่านหน้าหรือหลังที่ประทับ ให้ลุกขึ้นจากที่แล้วถวายความเคารพ แล้วเดินอย่างสุภาพเมื่อจะผ่านที่ประทับให้หันไปถวายความเคารพ เมื่อผ่านไปแล้วให้หันไปเคารพ และก่อนจะนั่งที่ใหม่ให้ถวายความเคารพก่อนนั่ง
6) การเดินไปทำธุระใดๆ เมื่อลุกจากที่และถวายความเคารพแล้วเดินไปยังที่จะทำกิจธุระเมื่อถึงที่ให้ ถวายความเคารพแล้วจึงทำกิจธุระนั้น ขณะทำกิจธุระจะนั่งย่อเข่า หรือคุกเข่าหรือหมอบแล้วแต่กรณี ทำกิจธุระเสร็จแล้วลุกขึ้น ถอยหลังหนึ่งก้าว ถวายความเคารพแล้วเดินถอยหลังสามก้าว ถวายความเคารพ แล้วเดินกลับที่นั่ง ก่อนจะนั่งถวายความเคารพอีกครั้ง
7) การเดินขึ้นลงเมรุ ในงานศพที่เสด็จพระราชดำเนิน ควรปฏิบัติโดยลำดับ ดังนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระบรมวงศานุวงศ์ประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ประชาชนทั่วไป พระภิกษุสามเณรเป็นอันดับสุดท้าย
           การปฏิบัติในการเดินขึ้นสู่เมรุให้ลุกจากที่นั่งถวายความเคารพ เมื่อผ่านที่ประทับถวายความเคารพลงจากเมรุถึงพื้นถวายความเคารพ เมื่อผ่านที่ประทับถวายความเคารพ ก่อนจะนั่งถวายความเคารพ
4.การนั่ง โดยคำนึงถึงมารยาทอาจจัดเป็นประเภทต่างๆได้ดังนี้ การหมอบ และการนั่งคุกเข่าในงาน และในโอกาสต่างๆ มีวิธีปฏิบัติดังนี้
1) การนั่งเก้าอี้ ให้นั่งตัวตรง หลังพิงพนักเก้าอี้ เท้าวางชิดกัน เข่าแนบชิดกัน มือทั้งสองวางบนหน้าขาถ้าเป็นเก้าอี้ท้าวแขน เมื่อนั่งตามลำพัง จะเอาแขนพาดบนท้าวแขนก็ได้ ไม่ควรนั่งเอาปลายเท้าหรือขาไขว้กันอย่างนั่งไขว่ห้างควรนั่งเต็มเก้าอี้ อย่านั่งโดยโยกเก้าอี้ให้ยกหน้าหรือเอนหลัง การนั่งลงศอกในกรณีนั่งเก้าอี้ให้น้อมตัวลงเงยหน้าเล็กน้อย วางแขนทั้งสองลงบนหน้าขามือประสานกัน
2) การนั่งพับเพียบ ให้นั่งในลักษณะสุภาพ ยืดตัว ไม่ต้องเก็บปลายเท้า แต่อย่าเหยียดเท้าถ้านั่งต่อหน้าผู้ใหญ่ให้เก็บปลายเท้า มือประสานกันไม่ท้าวแขน
 
3) การหมอบ ให้นั่งพับเพียบเก็บปลายเท้าก่อน แล้วหมอบลงไปให้เข่าข้างหนึ่งอยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้างแขนวางราบกับพื้น ตลอดครึ่งแขน ส่วนมือถึงศอกประสาน หรือประณมแล้วแต่กรณี
 
4) การนั่งคุกเข่า ให้นั่งตัวตรง วางก้นบนส้นเท้าปลายเท้าตั้ง มือทั้งสองประสานกัน หรือจะวางคว่ำบนหน้าขาก็ได้
5) การนั่งหน้ารถพระที่นั่งหรือรถที่นั่ง ก่อนที่จะขึ้นนั่งให้ถวายความเคารพก่อน แล้วขึ้นนั่งโดยหันหลังขึ้นนั่งพร้อมกับยกขาขึ้นตามไปด้วยนั่งตัวตรง ขาชิด เข่าชิด หลังแตะพนักแต่ไม่พิง มือประสานบนตัก สำรวมอิริยาบถแต่ให้ผึ่งผาย ไม่เหลียวหน้าไปทางใด
6) การนั่งขัดสมาธิ (สะหมาด) คือการนั่งตามสบายอย่างหนึ่งและการนั่งแบบทำสมาธิ
การนั่งขัดสมาธิธรรมดา คือ การนั่งบนพื้น คู้เข่าทังสองข้างหาตัว แนบขาลงกับพื้น โดยให้ขาข้างหนึ่งช้อนทับอยู่บนอีกข้างหนึ่ง ส้นเท้าทั้งสองข้างจะสัมผัสกับขา เป็นอิริยาบถที่ใช้นั่งตามลำพังสบายๆ หรือ สำหรับชายนั่งกับพื้นรับประทานอาหาร
การนั่งขัดสมาธิที่ใช้ในทางศาสนา มี 2 แบบ คือ การนั่งขัดสมาธิราบ และการนั่งขัดสมาธิเพชร
การนั่งขัดสมาธิราบ คือ การนั่งขัดสมาธิสองชั้น โดยเอาขาซ้อนทับกัน เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วหัวแม่มือจรดกัน ตั้งกายส่วนบนให้ตรง การนั่งขัดสมาธิราบนี้ใช้นั่งในการเจริญภาวนาทำจิตใจให้สงบ ซึ่งเป็นการปฏิบัติกรรมฐานเมื่อนั่งแบบนี้จะมีผลให้เนื้อหนังและเอ็นไม่ขด แม้นั่งนานทุกขเวทนาก็จะไม่บังเกิดขึ้น การบำเพ็ญภาวนาทางจิตใจจะได้ผล
การนั่งขัดสมาธิเพชร คือ การนั่งขัดสมาธิโดยคู้เข่าทั้งสองข้าง เอาฝ่าเท้าทั้งสองขัดหรือไขว้ขึ้นวางบนหน้าขา ท่านั่งขัดสมาธิแบบนี้ต้องใช้การฝึกหัดให้เกิดความชำนาญ โดยการหัดนั่งขัดสมาธิราบ หรือขัดสมาธิสองชั้นได้ชำนาญแล้ว
5.การนอน เป็นเรื่องส่วนตัวไม่น่าเกี่ยวข้องอะไรกับมารยาทหรือสังคม แต่บางกรณีในการเดินทางและนอนพักรวมกันเป็นกลุ่ม หรือการนอนที่อาจมีผู้เห็นอาการอันไม่ดีงามก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับมารยาทอยู่เหมือนกัน การนอนโดยคำนึงถึงมารยาทด้วยนั้น อาจจำแนกได้ดังนี้ การนอนในที่เฉพาะส่วนตัว การนอนเมื่อไปพักบ้านผู้อื่น การนอนในยานพาหนะขณะเดินทาง และการนอนเมื่อไปพักแรมเป็นหมู่คณะ
1) การนอนในที่เฉพาะส่วนตัว เมื่อนอนในที่เฉพาะส่วนตัว คนเราจะนอนอย่างไรก็ได้ตามความพอใจ แต่ก็ควรคำนึงถึงมารยาทและเรื่องต่างๆบ้าง เช่น
1.1 ใช้เสื้อผ้าหรือชุดนอนที่สวมสบาย ไม่ประเจิดประเจ้อ
1.2 ก่อนนอนควรไหว้พระสวดมนต์หรือแผ่เมตตา เพื่อให้นอนหลับอย่างมีสติและมีความสวัสดี ไม่ควรนอนเหยียดเท้าไปทางพระพุทธรูป หรือสิ่งที่พึงเคารพบูชา
1.3 นอนในท่าที่ถูกสุขลักษณะ เช่น นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เหลื่อมกันเล็กน้อย เหยียดแขนและขาให้สบายตามธรรมชาติ การนอนท่านี้ช่วยไม่ให้นอนทับหัวใจ การนอนหงายก็ถือเป็นท่าที่ถูกสุขลักษณะเช่นกัน
1.4 นอนให้เรียบร้อยตามสมควร ซึ่งรวมไปถึงการนอนอย่างสงบสำรวม ระวังการนอนกัดฟัน และละเมอ เป็นต้น
1.5 ไม่ควรทำความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อยู่ห้องใกล้เคียง หรือบ้านใกล้เคียง เช่น ทำเสียงดังเกินควรในยามวิกาล
1.6 เมื่อตื่นนอนแล้ว ควรจัดเก็บเครื่องนอนให้เรียบร้อย และควรทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่หงุดหงิด
2) การนอนเมื่อไปพักบ้านผู้อื่น ในกรณีที่ไปพักบ้านผู้อื่น หรือเพื่อนที่คุ้นเคยกัน แม้จะสนิทสนมกันก็ควรคำนึงถึงมารยาทที่พึงปฏิบัติอยู่บ้าง ผู้ไปพักบ้านผู้อื่นควรปฏิบัติเช่นเดียวกับการนอนในที่เฉพาะส่วนตัว แต่ควรเน้นเป็นพิเศษในเรื่องต่างๆ ดังนี้
2.1 ไม่ควรไปค้างบ้านผู้อื่นในยามดึกหรือกลับดึกโดยไม่มีเหตุอันจำเป็น เพราะเจ้าของบ้านจะเดือดร้อนในการเปิดประตูต้นรับ หรือให้ความสะดวกต่างๆ
2.2 ควรมีความเกรงใจ คำนึงถึงความต้องการของเจ้าของบ้าน ไม่ถือแต่ประโยชน์สุขส่วนตัว และไม่เรียกร้องขอความสะดวกสบายจากเจ้าของบ้านจนเกินควร เช่น ใช้ห้องน้ำ ห้องส้วมนานเกินไป ขอใช้บริการเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งในบ้านมีจำนวนจำกัด
2.3 ไม่ทำสิ่งใดอันจะเป็นการรบกวน หรือก่อความรำคาญให้แก่กันและกัน เช่น ทำเสียงดังเป็นเหตุให้เจ้าของบ้านตกใจตื่น ชวนคุยโดยไม่คำนึงว่าอีกฝ่ายหนึ่งต้องการจะพักผ่อน
2.4 ควรขออนุญาตเจ้าของบ้านก่อนที่จะทำสิ่งใดอันเกี่ยวข้องกับเจ้าของบ้าน เช่น ขอพูดโทรศัพท์ ขอใช้รถ ฯลฯ
2.5 ควรช่วยรักษาความสะอาดตามสมควร ซึ่งถือเป็นมารยาทอันดี
**ผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านก็ควรอำนวยความสะดวกแก่ผู้มาพักและมีความเกรงใจไม่ทำ สิ่งใดอันอาจก่อความรำคาญและรบกวนผู้มาพักเช่นกัน
3) การนอนในยานพาหนะขณะเดินทาง ผู้เดินทางระยะไกล และต้องค้างคืนในยานพาหนะไม่ว่าจะเป็นรถโดยสารปรับอากาศ รถไฟ ฯลฯ จำเป็นต้องคำนึกถึงมารยาทที่พึงปฏิบัติบางประการ เช่น
3.1 แต่งกายสุภาพ ไม่ปล่อยตัวตามสบายอย่างที่เคยปฏิบัติเมื่ออยู่ในบ้านของตน
3.2 ไม่ส่งเสียงคุยเอะอะ อันจะทำให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ที่ต้องการพักผ่อน
3.3 ไม่สูบบุหรี่ ไม่ก่อความรำคาญ หรือชวนพูดคุยโดยไม่คำนึงว่าเป็นเวลาอันเหมาะสมหรือไม่
3.4 ไม่ใช้ที่นั่งหรือที่นอนเกินสิทธิที่ตนพึงมีได้
3.5 หากประสงค์จะให้พนักงานบริการสิ่งใดเป็นพิเศษ ควรขอร้องอย่างสุภาพ
3.6 ในกรณีที่เดินทางโดยรถโดยสารปรับอากาศ ซึ่งสามารถปรับที่นั่งให้เอนนอนได้ควรหรับที่นั่งในเวลาอันควร โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้นั่งข้างเคียงด้วย เพราะอาจทำให้เขามิได้รับความสะดวก
3.7 ในกรณีที่ค้างคืนในรถไฟ ซึ่งจัดให้มีที่นอนในรถ ควรปฏิบัติเป็นพิเศษในเรื่องต่อไปนี้
  • ควรรอให้พนักงานปูที่นอนทำงานของเขาตามลำดับก่อนหลังไม่เรียกร้อง ให้บริการตนเป็นพิเศษ
  • ผู้ที่ขึ้นไปนอนชั้นบน ควรกล่าวคำขออภัยด้วยมารยาทอันดีต่อผู้นอนชั้นล่าง และถ้าไม่มีกิจจำเป็นก็ไม่ควรปีนขึ้นปีนลงบ่อยครั้ง
  • แม้จะมีม่านบังที่นอนไว้ ก็ควรนอนอย่างสงบเรียบร้อย
4) การนอนเมื่อไปพักแรมเป็นหมู่คณะ ในกรณีที่ไปพักแรมเป็นหมู่คณะ ที่พักอาจเป็นห้องโถงที่จัดไว้สำหรับคนจำนวนมาก ผู้พักอาศัยควรคำนึงถึงมารยาทที่พึงปฏิบัติระหว่างกันให้มากขึ้น เช่น
4.1 ไม่แสวงหาความสะดวกสบายส่วนตัวจนลืมนึกถึงผู้อื่น
4.2 ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกแก่ผู้อื่นที่มาทีหลัง ในการจัดหาเครื่องใช้ในการนอนเป็นการแสดงน้ำใจต่อกันในยามจำเป็น
4.3 ไม่ส่งเสียงคุยเอะอะหรือเดินเสียงดัง เป็นการก่อความรำคาญแก่ผู้ที่ต้องการพักผ่อน
4.4 เมื่อมีผู้เจ็บป่วยต้องการความช่วยเหลือ ควรรีบช่วยด้วยความเต็มใจ เช่น แจ้งผู้ดูแลที่พักเพื่อให้การปฐมพยาบาลทันท่วงที
4.5 ไม่เรียกร้องความสะดวกสบายเกินสิทธิที่แต่ละคนพึงมีพึงได้
4.6 แสดงความขอบคุณผู้ให้ที่พักก่อนอำลาจากกันด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี
4.7 ปฏิบัติตามระเบียบของเจ้าของสถานที่
6.การรับของและส่งของ การรับของจากผู้ใหญ่และการส่งของให้ผู้ใหญ่ของที่จะรับหรือส่ง มี 2 ลักษณะคือ ของหนักและของเบา ของหนักให้ถือสองมือ ของเบาให้ถือมือเดียว โดยถือด้วยมือขวา มือซ้ายปล่อยข้างตัวของที่จะรับหรือส่งควรถือตามขวาง ถ้าเป็นสมุดหรือหนังสือควรหันทางสันออกนอกตัว
1) การรับของและส่งของอย่างเป็นพิธีการ คำว่าพิธีการในที่นี้คือ การกระทำที่เป็นพิธี มีการกำหนดนัดหมาย และมีระเบียบปฏิบัติซึ่งอาจไม่เหมือนกับวิธีปฏิบัติที่เป็นส่วนตัว
  • การรับของขณะผู้ใหญ่ยืน ผู้ชายเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร (ประมาณ 2 ก้าว) ยืนตรงคำนับแล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าพร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อย รับของ เสร็จแล้วซักเท้าขวากลับ คำนับอีกครั้งหนึ่ง ถอยพอประมาณแล้วหันกลับ อีกแบบหนึ่งยืนไหว้ครั้งเดียว แทนการคำนับก่อน รับของแล้วไม่ต้องไหว้อีก ผู้หญิงเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร (ประมาณ 3 ก้าว) ย่อตัวไหว้ตามอาวุโสของผู้ส่งของให้ แล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าพร้อมกับย่อตัวรับของ เสร็จแล้วซักเท้าขวากลับถอยพอประมาณ หันกลับ
  • การรับของขณะผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้ ผู้ชายเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรง คำนับก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า แล้วคุกเข่าซ้าย รับของ เสร็จแล้วถอยเท้าขวา พร้อมกับลุกขึ้นยืนตรง คำนับอีกครั้งหนึ่งถอยพอประมาณ หันกลับอีกแบบหนึ่ง ถอยพอประมาณหันกลับอีกแบบหนึ่ง ค้อมตัวไหว้ครั้งเดียวแทนการคำนับก่อนรับของ ผู้หญิงเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าแล้ว คุกเข่าซ้าย และไหว้ตามอาวุโสของผู้ส่งของให้รับของแล้วถอยเท้าขวา พร้อมกับลุกขึ้นยืนถอยพอประมาณ หันกลับ
  • การรับของขณะผู้ใหญ่นั่งกับพื้น ชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่มีพระคุณหรืออาวุโสมาก ให้เข้าไปใกล้ผู้ใหญ่พอประมาณ แล้วจึงเดินเข่าเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่ประมาณ 3 ก้าว นั่งพับเพียบกราบผู้ใหญ่ 1 ครั้ง แล้วรับของ วางของทางขวามือเหนือเข่าเล็กน้อย ถ้าผู้ใหญ่ปราศรัยด้วยก็ให้นั่งในลักษณะสำรวมเสร็จแล้วกราบอีก 1 ครั้ง ถือของเดินเข่าถอยพอประมาณลุกขึ้นหันหลับ
2) การส่งของ มีการกำหนดนัดหมาย และมีระเบียบปฏิบัติซึ่งอาจไม่เหมือนกับวิธีปฏิบัติที่เป็นส่วนตัว ดังนี้
  • การส่งของขณะผู้ใหญ่ยืน ผู้ชาย ถือของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรงคำนับ แล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อย ส่งของเสร็จแล้ว ชักเท้าขวากลับ คำนับอีกครั้งหนึ่ง ถอยพอประมาณ หันกลับ อีกแบบหนึ่ง ใช้การยืนไหว้ ครั้งเดียวแทนการคำนับเมื่อส่งของให้ผู้ใหญ่แล้ว ผู้หญิง ถือของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควรยืนตรง แล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า พร้อมกับย่อตัวเล็กน้อย ส่งของเสร็จแล้วไหว้ในขณะที่ย่อตัวอยู่ แล้วซักเท้าขวากลับถอยพอประมาณ หันกลับ
    ** ในกรณีที่มีภาชนะรองรับของ เช่น พาน ให้จับคอพานทั้งสองมือ เดินเข้าไปให้ได้ระยะพอสมควร ค้อมตัว ยกพานส่งของให้ เมื่อผู้ใหญ่รับของไปแล้วถือพานด้วยมือขวา ชายคำนับ แล้วถอยกลับ หญิงค้อมตัวเล็กน้อย ถอยกลับ
  • การส่งของขณะผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้ ผู้ชาย ถือของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรงคำนับ ก้าวเท้าขวาไป ข้างหน้าแล้วคุกเข่าซ้ายส่งของเสร็จแล้วถอยเท้าขวากลับพร้อมกับลุกขึ้นยืน ตรง คำนับอีกครั้งหนึ่ง ถอยพอประมาณ หันกลับ อีกแบบหนึ่ง ใช้การค้อมตัวไหว้ครั้งเดียวแทนการคำนับเมื่อส่งของให้ผู้ใหญ่แล้ว ผู้หญิง ถือของเดินเข้าไปห่างจากผู้ใหญ่พอสมควร ยืนตรง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า แล้วคุกเข่าซ้ายส่งของ เสร็จแล้วไหว้ตามอาวุโสของผู้รับ แล้วถอยเท้าขวาพร้อมกับลุกขึ้นยืนถอยพอประมาณหันกลับ
  • การส่งของขณะผู้ใหญ่นั่งกับพื้น ชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน ถ้าเป็นผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณหรือผู้มีอาวุโสมากให้ผู้ที่เข้าไปส่งของเดินเข่า ถือของเข้าไป ห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณนั่งพับเพียบวางของทางขวามือเหนือเข่าเล็กน้อย แล้วกราบผู้ใหญ่ 1 ครั้ง ส่งของให้ผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่ปราศรัยด้วยก็ให้นั่งลักษณะสำรวม เมื่อจะลากลับกราบอีก 1 ครั้ง ถอยโดยวิธีเดินเข่า ห่างจากผู้ใหญ่พอประมาณลุกขึ้นยืน หันกลับ
3) การรับของและส่งของอย่างไม่เป็นพิธีการ การรับของและส่งของอย่างไม่เป็นพิธีการนั้น หมายถึง การรับของ และส่งของเป็นการส่วนตัวขณะที่ผู้ใหญ่ยืนอยู่หรือนั่งบนเก้าอี้รับแขก หรือนั่งบนพื้นในบ้าน ทั้งชายและหญิงควรปฏิบัติด้วยอาการนอบน้อมด้วยการทำความเคารพคือ เมื่อจะรับของก็ไหว้ท่านแล้วจึงรับ เมื่อจะส่งของให้ท่านก็ส่งของก่อนแล้วจึงไหว้ ทั้งนี้พึงปฏิบัติให้เหมาะสมตามกรณี เมื่อจะลาท่านก็ให้ไหว้อีกครั้งหนึ่ง
หมายเหตุ : การรับของหรือการส่งของเมื่อผู้ใหญ่นั่งกับพื้น ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่อาวุโสไม่มาก เช่น พี่ น้า อา เป็นต้น ให้ใช้วิธีการนั่งพับเพียบไหว้ การเข้าและออกให้ใช้วิธีเดินเข่า
4) การทูลเกล้าฯ ถวายของและการรับพระราชทานของ
  • การทูลเกล้าฯ ถวายของ พัสดุหรือสิ่งของที่ยกถือเชิญอันเป็นของเบา เรียกว่า ทูลเกล้าถวาย ผู้เข้าเฝ้าฯ ชายหรือหญิงเมื่อจะทูลเกล้าฯ ถวายในขณะประทับพระราชอาสน์ พระเก้าอี้ หรือประทับยืนจะต้องมีภาชนะ เช่น พานรองรับสิ่งของนั้น ผู้ถวายควรถือคอพานประคอง 2 มือ ก่อนจะเข้าไปเฝ้าฯ ถวาย ต้องทำความเคารพตามเพศ (คำนับ – ถอนสายบัว) เมื่อจะถึงที่ประทับห่างพอประมาณ ถวายความเคารพตามเพศ (คำนับ – ถอนสายบัว) แล้วย่อตัวลง โดยก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า เข่าซ้ายลงจรดพื้นแล้วยกพานภาชนะที่รองรับสิ่งของนั้น ๆ ทูลเกล้า ฯ ถวายเมื่อทรงหยิบของในพานแล้ว ให้ลุกขึ้นถือภาชนะหรือพานลดต่ำพร้อมกับถอยเท้าขวากลับ ถวายความเคารพแล้วเดินถอยหลังไป 3-4 ก้าว ถวายความเคารพแล้วลับไปยืนหรือนั่งเฝ้าฯ ที่เดิม ส่วนพัสดุ สิ่งของ หรือสิ่งใดก็ตามที่ยกถือเชิญไม่ได้เพราะเป็นของหนักหรือสิ่งมีชีวิตเรียกว่า น้อมเกล้าฯ ถวาย การน้อมเกล้าฯ ถวายสิ่งของที่จะยกเชิญไม่ได้ เพราะเป็นของหนักหรือสิ่งมีชีวิต ส่วนมากจะทำเป็นเอกสาร
  • การรับพระราชทานสิ่งของ ผู้รับจะต้องใช้มือขวาโดยวิธีการ “เอางาน” คือ ยกมือไม่กางข้อศอก มือตั้ง ยกข้อมือขึ้น 1 ครั้ง แล้วหงายมือรับพระราชทานของ ถ้ารับพระราชทานของที่เป็นของเบาให้รับมือเดียว แต่ถ้าเป็นของหนักให้ยกมือขวาเอางานก่อน แล้วจึงรีบยกมือซ้ายขึ้นมาช่วยรับ ผู้ชาย เดินเข้าไปห่างพอประมาณ ถวายความเคารพ (ถวายคำนับ) ย่อตัวลงโดยก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า คุกเข่าซ้าย ยกมือขวาเอางานแล้วรับพระราชทานของ เสร็จแล้วถอนเท้าขวาพร้อมกับลุกขึ้นยืนตรง ถวายความเคารพ ถอยหลังออก ผู้หญิง เดินเข้าไปห่างพอประมาณ ถวายความเคารพ (ถอนสายบัวแบบพระราชนิยม) แล้วยืนตรง ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า คุกเข่าซ้าย ยกมือขวาเอางาน แล้วรับพระราชทานของ เสร็จแล้วถอยเท้าขวาพร้อมกับลุกขึ้นยืนถวายความเคารพ ถอยหลังออก
5) การประเคนของแด่พระสงฆ์และการรับของจากพระสงฆ์
  • การประเคนของแด่พระสงฆ์ หมายถึง การถวายของโดยส่งให้ตามวิธีการทางพระวินัย การประเคนของแด่พระสงฆ์ ถ้าเป็นของที่พอยกได้ใช้ 2 มือยกแล้วประเคนในระยะหัตถบาส ถ้าเป็นของใหญ่เกินกว่าที่จะยกได้ เช่น เรือ รถ หรือกุฎีก็ไม่ต้องยกเพียบกล่าวคำถวายหรือถวายเอกสารประกอบสิ่งของนั้นก็พอ แล้ว วิธีการประเคนของ ชายและหญิงปฏิบัติดังนี้ คือ ถ้าพระสงฆ์นั่งกับพื้นถือของเดินเข่าเข้าไปได้ระยะหัตถบาส แล้วยกของขึ้นประเคน ผู้ชายจะประเคนของแด่พระสงฆ์ในลักษณะมือต่อมือได้เลย ผู้หญิงจะต้องวางบนผ้าที่พระสงฆ์ทอดออกมา จะไหว้หรือกราบแล้วแต่กาลเทศะ ถอยโดยวิธีเดินเข่า เมื่อห่างพอประมาณค่อยลุขึ้นหันตัวกลับ ในกรณีพระสงฆ์นั่งบนเก้าอี้หรืออาสน์สงฆ์ไม่ต้องเดินเข่า แต่เข้าไปให้ได้ระยะหัตถบาส และประเคนตามวิธีดังกล่าวข้างต้น ถ้ามีของถวายหลายอย่าง ควรประเคนทีละอย่าง แต่ถ้ามีถาดหรือภาชนะใส่ไว้แล้วก็ประเคนทั้งถาดหรือภาชนะได้ แต่ไม่ควรยกโต๊ะอาหารประเคนทั้งโต๊ะ เพราะเป็นของใหญ่หรือหนักเกินประมาณ ซึ่งผิดพระวินัย (คำว่า หัตถบาส แปลว่า “บ่วงมือ” หมายถึง ระยะระหว่างผู้รับประเคนและผู้ถวายไม่เกิน 1 ศอก)
  • การรับของจากพระสงฆ์ ชายและหญิงปฏิบัติดังนี้คือ ก่อนรับของให้เข้าไปใกล้ในระยะพอสมควร แล้วแสดงความเคารพจะกราบหรือไหว้สุดแต่กาละ ของเบา ชายยื่นมือขวารับ ของหนัก ยื่นสองมือรับแล้วถอยกลับ ส่วนหญิง พระจะวางของไว้ตรงหน้า ของเบาให้เอื้อมมือขวาไปหยิบด้วยอาการนอบน้อม สำรวม ของหนักให้ยกทั้งสองมือแล้วถอยกลับ

7.การแสดงกิริยาอาการ คือ ส่วนต่างๆของร่างกายที่แสดงกิริยาอาการให้มีผลต่อการสื่อความหมายที่สำคัญๆ มีศรีษะ ดวงตา หน้า ไหล่ แขน มือ นิ้ว ลำตัว ขา มีหลักกว้าๆ พอจะบอกได้ว่ากิริยาอาการเป็นปัจจัยช่วยสื่อความหมายให้สัมฤทธิผลหรือเป็นอุปสรรคต่อการสื่อความหมาย 
  • การทรงตัว การทรงตัวที่ดีต้องอยู่ในอาการสุมดุล ไม่ฝืนธรรมชาติขณะที่ยืนควรปล่อยน้ำหนักให้ตกลงบนขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน ในท่านั่งพูดไม่ควรปล่อยให้น้ำหนักตัวตกอยู่ที่กลางหลัง เพราท่านี้จะไม่ช่วยให้ทรวงอกขยายตัวได้สะดวกในขณะที่เปล่งเสียงพูด แขนช่วงบนต้องไม่กดชิดลำตัวตลอดเวลา เพราะท่านี้จะทำให้ทรวงอกอึดอัดโดยไม่รู้ตัว ท่านั่งตามปกติที่ช่วยให้ทรงตัวดีที่สุดคือ นั่งลำตัวตรง ถ้ามีโต๊ะอยู่ด้านหน้าควรวางข้อศอกไว้บนโต๊ะ อาจโน้มตัวไปข้างหน้าได้เล็กน้อย
  • จังหวะในการแสดงกิริยาอาการ การแสดงกิริยาอาการไม่ว่าจะโดยอาการใช้มือ แขน ศรีษะ การแสดงออกทางสีหน้าและแววตา และการเคลื่อนไหวลำตัว จะช่วยเน้นคำพูดหรือเสริมคำพูดให้เป็นที่เข้าใจแจ่มชัดขึ้น ควรจะแสดงออกในทันทีทันใดก่อนเปล่งคำพูด แต่อย่าเกินงามควรแสดงออกแต่พอดี ไม่ควรเล่นหูเล่นตา หรือ หยอกล้อผู้ใหญ่จนเกินงาม มีความสุภาพอ่อนโยนงดงาม
8.การรับประทานอาหาร การรับประทานอาหารในงานใดๆก็ตาม ถือเป็นมารยาทที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องและพึงระมัดระวัง เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง และเสริมบุคลิกภาพ การร่วมรับประทานอาหารในงานเลี้ยงควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
  • การรับประทานอาหารแบบตั้งโต๊ะ ซึ่งมี 2 แบบ คือ เลี้ยงแบบอาหารไทยที่มีอาหารตั้งบนโต๊ะเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และแบบที่ค่อยๆ ทยอยเสิร์ฟจนหมด เช่น อาหารจีน หรืออาหารฝรั่ง ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
    1. ถ้าไปในงานไม่ได้ ก็ควรแจ้งให้เจ้าภาพทราบล่วงหน้า เพื่อเจ้าภาพจะได้รู้จำนวนแขกที่มาในงาน แต่โดยทั่วไปควรจะบอกก่อนวันงานไม่ว่าจะไปได้หรือไม่ก็ตาม
    2. ตระเตรียมเครื่องแต่งตัวไปในงานให้พร้อม
    3. ควรจะไปก่อนงานเริ่มสัก ๑๐ นาที ไม่ควรไปเร็วหรือช้ากว่านั้น เพราะจะทำให้เจ้าภาพลำบากใจ 
    4. ควรทักทายพบปะกับเจ้าภาพเมื่อไปถึงในงาน แม้เจ้าภาพจะยุ่งอยู่กับการต้อนรับคนอื่น เราก็ควรหาโอกาสไปทักทายในภายหลัง
    5. ควรพยามยามพูดคุยทักทายกับแขกคนอื่น ๆ ที่มาในงาน แม้ไม่ใช่เพื่อนของเรา ถ้าถูกแนะนำให้รู้จักกับใคร ก็ควรจะพูดคุยกับคนนั้นหากไม่มีใครแนะนำก็ควรพูดคุยกับคนใกล้เราที่สุด
    6. เวลาที่นั่งโต๊ะ ควรให้แขกผู้ใหญ่นั่งก่อน แล้วเราค่อยนั่งตาม สามี ภรรยา ไม่ควรนั่งโต๊ะติดกัน
    7. เวลาเดินเข้าประจำโต๊ะ สุภาพบุรุษควรช่วยเหลือสุภาพสตรีที่นั่งข้าง ๆ ให้นั่งก่อนโดยการยกเก้าอี้เลื่อนให้เล็กน้อย สุภาพสตรีนั่งแล้วสุภาพบุรุษจึงค่อยนั่งตาม โดยสุภาพสตรีต้องนั่งทางขวาของสุภาพบุรุษ
    8. ก่อนนั่งโต๊ะควรงดสูบบุหรี่ แม้นั่งโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็ไม่ควรสูบ เพราะมีสุภาพสตรีนั่งอยู่ข้างๆ
    9.  นั่งโต๊ะต้องนั่งตัวตรง อย่านั่งพิงเก้าอี้ เอนหลัง หรือค่อมหลังจนตัวงอ อย่านั่งชิด หรือห่างจากเก้าอี้ หรือเอาเท้าวางบนเก้าอี้ เอาศอกวางบนโต๊ะ
    10. อย่าอ่านหนังสือใด ๆ บนโต๊ะอาหารนอกจากรายการอาหาร
    11. ผ้าเช็ดมือคลี่วางบนตัก
    12. อย่าเล่นช้อน ส้อมหรือผ้าเช็ดมือ
    13. อย่ากางข้อศอกในเวลารับประทานอาหาร ศอกต้องแนบตัว
    14. ถ้ามีสิ่งใดตก ไม่ต้องเก็บ ควรแจ้งให้คนเสริฟทราบ
    15. เวลานั่งโต๊ะ คอยสังเกตให้ดีว่าอันไหนเป็นของเรา หรือเป็นของคนอื่น อย่าหยิบผิด
    16. เวลารับประทานอาหารอย่าจับหรือแต่งผม แต่งหน้า ทาปาก
    17. ช่วยเหลือเพื่อนร่วมโต๊ะตามสมควร
    18. อย่าเอื้อมหยิบของผ่านหน้าผู้อื่น แต่ถ้าเพื่อนร่วมโต๊ะส่งให้ ก็ควรขอบคุณในไมตรีจิตของเขา
    19. อย่าทำอะไรตกจากโต๊ะอาหาร แต่ถ้าตกแล้วก็ขอใหม่ อย่าเก็บของเก่า
    20. หากทำอะไรผิดก็ปล่อยเลยตามเลย ไม่ต้องแก้ตัว
    21. ดื่มน้ำด้วยมือขวา
    22. อย่าจิ้มฟันในขณะรับประทานอาหาร ถ้าจำเป็นควรใช้มือป้อง
    23. รับประทานอาหารเสร็จควรรวบช้อนส้อมไว้คู่กัน เขาจะได้รู้ว่าอิ่มแล้ว
    24. ลุกจากโต๊ะเมื่อคนอื่นๆ อิ่มแล้ว
  • การรับประทานอาหารแบบตักเอง หรือที่เรียกว่าบุฟเฟ่ห์ ควรปฏิบัติดังนี้
    1. ไม่ควรตักก่อนที่เจ้าภาพจะเชิญ
    2. ไม่ควรตักอาหารจนล้นชามแล้วรับประทานไม่หมด
    3. ไม่ควรตักของหวานหรือผลไม้เกินกว่าที่ตนจะรับประทานได้
    4. เมื่อต้องการอาหารเพิ่มเติม ต้องใช้ช้อนกลาง ไม่ควรใช้ช้อนของตนตักอาหาร
    5. เมื่อตนตักอาหารชนิดใดแล้ว ต้องให้โอกาสคนอื่นเข้าได้ตักบ้าง ไม่ควรยืนปักหลักอยู่ที่โต๊ะ
    6. ไม่ควรลุกไปตักอาหารพร่ำเพรื่อจนเกินควร
    7. รับประทานอาหารที่ตักมาให้หมด ไม่ควรเหลือทิ้งไว้บนจานมาก
    8. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จควรรวบช้อนส้อมเข้าคู่ด้วยกัน
    9. เมื่อจะกลับควรลาเจ้าภาพและกล่าวคำขอบคุณ

9.การทักทาย นอกจากการไหว้กันและกันแล้วการพูดจา และการปฏิบัติตัวอย่างสุภาพก็ถือเป็นการทักทายอีกอย่างหนึ่ง เช่น ถ้าหากคุณเป็นแขกไปเยี่ยมสำนักงานอื่น ควรปฏิบัติตัวอย่างสุภาพเช่นเดียวกับคุณไปเยี่ยมเยือนบ้านเพื่อนหรือใน ทางกลับกันเมื่อคุณต้องต้อนรับผู้อื่นในออฟฟิศตนเอง ควรทำด้วยความมีอัธยาศัยเหมือนกับเป็นเจ้าของบ้านนั่นก็คือ ต้องแต่งตัวอย่างเหมาะสม ตรงเวลา และสุภาพ
1. เมื่อคุณเป็นแขก
ต้องตรงต่อเวลาทุกครั้ง (ในกรณีฉุกเฉินต้องโทรศัพท์ แจ้งผู้ที่เรานัดให้ทราบล่วงหน้า) ตามปกติ คนทำงานมักมีนัดหมายอื่นๆอีก ดังนั้น ย่อมต้องการเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เมื่อไปถึงสถานที่ให้แสดงนามบัตร พร้อมแนะนำตัว ชื่อ และบริษัทที่ทำงานแก่พนักงานต้อนรับด้านหน้าพร้อมกับแจ้งความประสงค์ ถ้าหากผู้ที่ต้องการพบยังไม่ว่าง และพนักงานต้อนรับเชื้อเชิญคุณนั่งคุณอาจวางกระเป๋าเอกสารไว้บนพื้นหรือบน ตัก แล้วอ่านหนังสือหรือจดโน๊ตรอก็ได้ ข้อสำคัญ จงอย่าไปยุ่มย่ามกับงานของพนักงานต้อนรับ หรือหยิบเอกสารผู้อื่นมาดู เมื่อได้เข้าไปพบกับบุคคลเป้าหมายแล้ว อย่าลืมทักทายด้วยการกล่าว “สวัสดี” ก่อน พร้อมทั้งแนะนำตัวด้วย ถ้าหากว่าพนักงานต้อนรับสักครู่ไม่ได้แนะนำไว้ ในกรณีกลับกัน หากคุณมีแขกมาเยือนถึงที่ทำงาน และมีโทรศัพท์ถึงคุณ คุณน่าจะต่อโทรศัพท์กลับทีหลังดีกว่า ทว่าถ้าเป็นเรื่องสำคัญ ก็ขอโทษและรีบสรุปการเจรจาโดยเร็ว เช่นเดียวกับเวลาที่คุณไปพบคนอื่นแล้วมีโทรศัพท์เข้าคุณควรเสนอตัวออกไปรอ ข้างนอกชั่วขณะ การเข้าพบใดๆ ไม่ควรอยู่นาน และขากลับอย่าลืมขอบคุณพนักงานต้อนรับด้วย
2. เมื่อคุณเป็นผู้ที่แขกต้องการพบ
ไม่ควรปล่อยให้เขารอนานเกินความจำเป็น แนะนำตนเองในกรณีที่เขายังไม่รู้จัก หรือหากคุณยังไม่พร้อมที่จะให้เข้าพบก็ควรเชิญไปที่ห้องรับแขก ซึ่งเพียบพร้อมด้วยหนังสือพิมพ์ วารสาร และที่เขี่ยบุหรี่ตามห้องรับแขกใหญ่ๆ ในต่างประเทศ จะไม่มีการเสิร์ฟเครื่องดื่ม ยกเว้นแต่จะมีเครื่องชงกาแฟ ทว่าในเมืองไทยผู้ที่มาเยือนมักได้รับการเสนอว่าต้องการเครื่องดื่มอะไร ชา กาแฟ หรือน้ำเย็น ผู้ทำหน้าที่เป็นเลขาฯหรือมีหน้าที่ในการคัดเลือกบุคคลภายนอกที่ต้องการพบ พนักงานระดับสูงในบริษัทนั้นบางทีอาจพบว่าแขกที่มาไม่ได้เปิดเผยตนเอง ก็จงถามชื่อและประเภทธุรกิจของเขา หรือในกรณีที่เจ้านายยังวุ่นอยู่กับงานก็ควรนัดหมายเสียใหม่จะเหมาะสมกว่า หากเจ้านายไม่อยากพบหน้า คุณต้องหาวิธีหลีกเลี่ยงอย่างมิให้เสียน้ำใจต่อผู้มาเยือนและภาพพจน์ของเจ้า นาย เช่น คุณอาจแจ้งต่อเขาว่า ช่วงนี้เจ้านายคุณคิวเต็มเหยียด ทั้งเรื่องงานและกำหนดนัดหมายอื่นๆ ในกรณีที่แขกมาเยือนเยิ่นเย้อ จะมีผลกระทบต่อนัดหมายอื่นหรืองานประจำ เลขานุการ หรือพนักงานต้อนรับควรเคาะประตูเข้าไปบอก ว่าถึงเวลาอีกนัดหนึ่งแล้ว เท่ากับแจ้งเป็นนัยๆต่อแขกว่าถึงเวลาต้องกลับเสียที
ปัญหาอันเนื่องมาจากแขกผู้มาเยือนจริงๆ แล้วโอกาสที่เกิดขึ้นคงไม่บ่อยนัก แต่ก็เป็นได้เมื่อแขกไม่ได้ดังความประสงค์อาจเกิดอารมณ์โกรธและเอะอะขึ้น ถ้าบริษัทจ้างยามหรือหน่วยรักษาความปลอดภัย ก็จงแจ้งขอความช่วยเหลือจากเขา หรือหากไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คุณต้องร้องขอให้บุคคลที่ 3 มาร่วมในเหตุการณ์ เพื่อเป็นประจักษ์พยานป้องกันแขก มิให้นำเรื่องราวไปบิดเบือน จนกลายเป็นความเสื่อมเสียต่อทั้งคุณและบริษัท
3. การแนะนำตัว
การแนะนำตัวนั้น จะว่าง่ายก็ไม่เชิง จะว่ายากก็ไม่ใช่ กฏระเบียบทางสังคมเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้ เพื่อจะได้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง หน้าไม่แตก สิ่งสำคัญขิงการแนะนำตัว คือ ชื่อ ตำแหน่ง ยศ หรือข้อมูลใดๆ ที่สำคัญ อันเป็นการอธิบายบุคคลผู้ถูกแนะนำให้เป็นที่รู้จักกันได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างง่ายๆสำหรับการแนะนำตัว มีดังนี้
1. ควรแนะนำตนเองทันที เมื่อเห็นว่าผู้อื่นจำชื่อคุณไม่ได้
2. ใช้การแนะนำตัวว่า “สวัสดี” ในตอนพบปะและอำลา
3. เมื่อคุณต้องแนะนำผู้อื่นต่ออีกบุคคลหนึ่ง อย่าลืมว่าต้องเอ่ยถึงผู้ที่มียศศักดิ์ก่อน เช่น “ท่าน ผอ.ฉัตรชัย นี่คุณนวลเนียนพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของบริษัทครับ”
4. แนะนำบุคคลระดับบริหารของบริษัทคุณ ต่อคนระดับบริหารเช่นกันของบริษัทอื่น เช่น คุณหนึ่ง..นี่คุณสอง ผอ.ฝ่ายขายของบริษัท…. คุณสอง นี่คุณหนึ่ง ผอ.ฝ่ายตลาดของบริษัท…….ครับ”
5. แนะนำพนักงานอาวุโสน้อยต่อพนักงานที่มีอาวุโสมากกว่า
6. แนะนำพนักงานของบริษัทต่อลูกค้า เช่น คุณสาม….นี่คุณห้า ผอ.ฝ่ายขายของบริษัท…..คุณห้า..นี่คุณสาม จากบริษัท……….”
7. แนะนำฝ่ายชายต่อฝ่ายหญิง เมื่อทั้งสองฝ่ายอยู่ในสถานะเท่ากัน
10.การสนทนา การพูดกับผู้อื่นหรือการสนทนากันในสังคมมีความสำคัญมาก การสนทนาเป็นการพูดกับผู้อื่นแตกต่างไปจากการพูดคนเดียว คือ การสนทนาย่อมมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน มีการพูดจาระหว่างบุคคลซึ่งอาจมากกว่าสองคน ดังนั้น มารยาทในการสนทนาพึงปฏิบัติดังนี้
1. ควรใช้คำพูดที่สุภาพอ่อนน้อม
2. ในการพูดถึงบุคคลอื่นๆ ไม่ควรหยิบยกเอาความบกพร่องเสียหายของบุคคลนั้นๆขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ โดยการดูถูกดูแคลน หรือเยาะเย้ยเสียดสีผู้นั้น
3. ไม่พูดไร้สาระ หรือพูดพล่อยจับใจความไม่ได้
4. ไม่พูดสอดแทรกขณะที่มีการสนทนาเป็นกลุ่มนั้น
5. ไม่พูดเสียงดังในสถานที่ต้องการความเงียบสงบ
6. ไม่กล่าวถึงสิ่งโสโครกพึงรังเกียจในท่ามกลางประชุมชน
7. ไม่พูดเปรียบเปรยเคาะแคะสตรีกลางประชุม
8. ไม่กล่าวถึงสิ่งควรปิดบังท่ามกลางประชุมชน
9. ไม่ขอแยกผู้หนึ่งมาจากผู้ใด  เพื่อจะพาไปพูดจาความลับกัน
10. ไม่กล่าวถึงความชั่วร้าย  อันเป็นความลับเฉพาะบุคคลในที่แจ้ง
11.การใช้คำพูด การพูดแบ่งเป็นการพูดทางการหรือกึ่งทางการ อาจพูดอยู่ในบุคคล 2 บุคคล หรือกลุ่มๆ การพูดผู้พูดอาจพูดคนเดียว โดยมีผู้ฟังกลุ่มใหญ่ฟังอยู่  ซึ่งกฏระเบียบต่างๆในการพูดขึ้นอยู่กับกาลเทศะเท่านั้น และต้องรวมกับมารยาทการแต่งกาย การใช้ถ้อยคำ ท่าทีประกอบการพูด น้ำเสียง ฯลฯ ผู้พูดควรระมัดระวังในการพูดดังนี้
1. ใช้คำทักทายผู้ฟังให้ถูกต้อง เหมาะสมตามสถานภาพผู้ฟัง เช่น สวัสดี / เรียน  , กราบเรียน / ขอประทานกราบเรียน
2. ใช้คำพูดที่แสดงถึงความมีมารยาทอยู่เสมอ เช่น ขอโทษ ขอบใจ ขอบคุณ
3. ใช้คำพูดที่สุภาพ ให้เกียรติผู้ฟัง ไม่ใช้เสียงดุดัน หยาบคาย
4. ไม่พูดยกตนข่มท่าน คุยโอ้อวดว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น
5. ไม่ชิงพูด แย่งพูดก่อนคนอื่น หรือผูกขาดการพูดเพียงคนเดียว
6. ไม่พูดยืดยาว นอกประเด็น พูดวกวนซ้ำซากน่าเบื่อ
7. ไม่พูดเสียงห้วนๆ สั้นๆ ตามอารมณ์
8. ไม่พูดหยาบคาย ใช้คำไม่เหมาะสม
9. ไม่โต้เถียง คัดค้านอย่างไม่มีเหตุผล
12.การฟัง เป็นวัฒนธรรมประจำชาติอย่างหนึ่งที่ผู้ฟังควรยึดถือและปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสม การมีมารยาทในการฟังย่อมแสดงให้เห็นว่าบุคคลนั้นได้รับการอบรมบ่มนิสัย ให้เป็นผู้มีวัฒนธรรมอันดีงาม การมีมารยาทที่ดี ถือเป็นการให้เกียรติต่อผู้พูด ให้เกียรติ ต่อสถานที่และให้เกียรติต่อชุมชน มารยาทเหล่านี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ทุกคนควรยึดถือ และปฏิบัติโดยเคร่งครัด
1. เมื่อฟังอยู่เฉพาะหน้าผู้ใหญ่ ควรฟังโดยสำรวมกิริยามารยาท ฟังด้วยความสุภาพเรียบร้อย และตั้งใจฟัง
2. การฟังในที่ประชุม ควรเข้าไปนั่งก่อนผู้พูดเริ่มพูด โดยนั่งที่ด้านหน้าให้เต็มก่อนและควรตั้งใจฟังจนจบเรื่อง
3. จดบันทึกข้อความที่สนใจหรือข้อความที่สำคัญ หากมีข้อสงสัยเก็บไว้ถามเมื่อมีโอกาสและถามด้วยกิริยาสุภาพ เมื่อจะซักถามต้องเลือกโอกาสที่ผู้พูดเปิดโอกาสให้ถาม หรือยกมือขึ้นขออนุญาตหรือแสดงความประสงค์ในการซักถาม ถามด้วยถ้อยคำสุภาพ และไม่ถามนอกเรื่อง
4. มองสบตาผู้พูด ไม่มองออกนอกห้องหรือมองไปที่อื่น อันเป็นการแสดงว่าไม่สนใจเรื่องที่พูด และไม่เอาหนังสือไปอ่านขณะที่ฟัง หรือนำอาหารเครื่องดื่มเข้าไปรับประทานระหว่างฟัง
5. ฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นกันเองกับผู้พูด แสดงสีหน้าพอใจในการพูด ไม่มีแสดงกิริยาก้าวร้าว เบื่อหน่าย หรือลุกออกจากที่นั่งโดยไม่จำเป็นขณะฟัง
6. ฟังด้วยความสุขุม ไม่ควรก่อความรำคาญให้บุคคลอื่น ควรรักษามารยาทและสำรวมกิริยา ไม่หัวเราะเสียงดังหรือกระทืบเท้าแสดงความพอใจหรือเป่าปาก
7. ฟังด้วยความอดทนแม้จะมีความคิดเห็นขัดแย้งกับผู้พูดก็ควรมีใจกว้างรับฟังอย่างสงบ
8. ไม่พูดสอดแทรกขณะที่ฟัง ควรฟังเรื่องให้จบก่อนแล้วค่อยซักถามหรือแสดงความคิดเห็น
9. ควรให้เกียรติวิทยากรด้วยการปรบมือ เมื่อมีการแนะนำตัวผู้พูด ภายหลังการแนะนำ และเมื่อวิทยากร พูด จบ
13.การใช้เครื่องมือสื่อสาร การมีมารยาทในการใช้เครื่องมือสื่อสารควรรู้กาละเทศะในการใช้  สถานที่ใด้ห้ามใช้ก็ไม่ควรละเลยข้อห้ามนั้น เช่น โรงพยาบาล โรงภาพยนตร์ เป็นต้น





ทักทาย แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น