*** สามารถติดตามเคล็ดลับสุขภาพดีดีที่ไลน์แอดไอดี @HealthyThailand หรือคลิก http://line.me/ti/p/%40healthythailand อย่าลืมคลิกมีกิจกรรมสนุกๆรับของรางวัลด้วยน้า ^

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สงกรานต์นี้ ระวัง ‘ดินสอพอง’ ไว้ให้ดี !!

สงกรานต์นี้ ระวัง ‘ดินสอพอง’ ไว้ให้ดี !!


   เทศกาลสงกรานต์ เป็นเทศกาลปีใหม่ไทยที่ทุกคนรู้จักกันดี และเนื่องจากเทศกาลนี้ตรงกับช่วงเดือนเมษายนที่เต็มไปด้วยความร้อนแรงของแสงแดด จึงทำให้เกิดเป็นประเพณีการเล่นน้ำสงกรานต์ควบคู่กันมาด้วย และนอกเหนือจากอุปกรณ์การเล่นน้ำอย่างปืนฉีดน้ำ ขันน้ำ หรือสายยางฉีดน้ำแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คนไทยขาดไม่ได้เลย ก็คือ “ดินสอพอง” ที่นิยมนำมาใช้เพื่อปะหน้าปะตา อันเป็นสัญลักษณ์ที่เคียงคู่มากับประเพณีที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม แต่คุณรู้หรือไม่ว่า “ดินสอพอง” ที่กำลังใช้อยู่ทุกวันนี้ อาจจะนำโทษภัยร้ายแรงมาสู่ตัวคุณแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยก็ได้
    หากจะพูดถึงดินสอพอง หลายๆคนก็คงจะนึกถึงแป้งทาหน้าสีขาวข้นที่นิยมใช้ปะหน้าเพื่อให้ร่างกายเย็นสบาย ช่วยป้องกันแสงแดด มีสรรพคุณในการกำจัดสิวเสี้ยน ลดอาการปวดบวมจากการอักเสบ ช่วยปรับสภาพผิว หรือนำไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆเพื่อขัดผิว ขัดตัว หรือพอกหน้า ซึ่งการที่แป้งดินสอพองจะมีคุณสมบัติเช่นนี้ได้ จะต้องเป็นดินสอพองที่มีกระบวนการผลิตที่สะอาด และมีการตรวจเชื้อจุลินทรีย์ให้ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน แต่หากเป็นแป้งดินสอพองที่เราใช้ปะหน้าเล่นสงกรานต์กันอยู่ทุกวันนี้ อาจจะไม่ค่อยมีสรรพคุณที่ว่านี้เสียเท่าไร เนื่องจากแป้งเหล่านี้ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบปริมาณของเชื้อจุลินทรีย์ให้ได้ตามปริมาณที่เหมาะสม และการใช้แป้งดินสอพองที่แช่ทิ้งไว้นานเกินไป ก็ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้มันส่งผลร้ายที่เป็นอันตรายต่อผิวหนังและร่างกายของเราอย่างนึกไม่ถึงได้เช่นกัน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเรามีคำตอบมาให้คุณแล้วค่ะ
สงกรานต์นี้ ระวัง ‘ดินสอพอง’ ไว้ให้ดี !!
ภาพจาก : http://www.toplopburi.com/14724261/%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%87 สงกรานต์นี้ ระวัง ‘ดินสอพอง’ ไว้ให้ดี !!

    การตรวจวิเคราะห์ถึงอันตรายของแป้งดินสอพองนี้ ทำโดยการสุ่มตรวจคุณภาพของดินสอพองที่วางขายตามสถานที่ต่างๆ และผลที่พบก็แสดงให้เห็นว่า ส่วนผสมของดินสอพองนอกจากจะมีแป้งเป็นส่วนประกอบหลักแล้ว ยังตรวจพบการปนเปื้อนของยีสต์ แบคทีเรีย และเชื้อรา อยู่ในปริมาณที่มากเกินกว่าที่มาตรฐานจะยอมรับได้ ยกตัวอย่างเช่น ‘จุลินทรีย์คลอสตริเดียม สปอร์โรจีเนส’ และ ‘คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์’ ซึ่งเป็นกลุ่มจุลินทรีย์คลอสตริเดียมที่สามารถสร้างสปอร์และสารพิษได้หลายชนิด ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการตรวจพบเชื้อโรคอันตรายที่ก่อให้เกิดโรคบาดทะยัก ซึ่งเป็นผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ได้อีกด้วย
    ตามที่บอกไปแล้ว ดินสอพองโดยปกติจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ‘ประเภทที่เป็นวัตถุดิบสำหรับโรงงาน ใช้ผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ’ และ ‘ประเภทที่ใช้เป็นเครื่องสำอางหรือใช้สัมผัสร่างกายโดยตรง’ ซึ่งจัดเป็นเครื่องสำอางตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2535 ซึ่งการจะเป็นเครื่องสำอางได้จะต้องได้รับการปรับปรุงให้มีคุณภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขด้วย กล่าวคือ จะต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานของเครื่องสำอางตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่กำหนดให้มีจุลินทรีย์ไม่เกิน 1,000 โคโลนีต่อกรัม และมีสารหนูได้ไม่เกิน 2 ไมโครกรัมต่อกรัม
    เชื้อโรคเหล่านี้หากอยู่ในสภาวะที่ไม่เหมาะสม มันก็คงไม่สามารถทำร้ายอะไรเราได้เท่าไรนัก แต่สำหรับในแป้งดินสอพองละลายน้ำนั้น ถือเป็นแหล่งอาหารที่ค่อนข้างเหมาะสมของเชื้อโรคร้ายทั้งหลายเลยทีเดียว อีกทั้ง ยังทำให้พวกมันขยับเข้าไปใกล้กับการใช้ชีวิตของมนุษย์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย ทำให้เชื้อดังกล่าวสามารถเข้าไปอาศัยและฟูมฟักตัวเองอยู่ภายในร่างกายของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี และนั่นก็ย่อมส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการอาหารเป็นพิษตามมาได้ง่ายนั่นเอง มากไปกว่านั้น หากมีการสะสมของเชื้อโรคเหล่านี้ในปริมาณที่มาก ก็อาจจะส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายจนทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด กล้ามเนื้อตาย ติดเชื้อในเนื้อเยื่ออ่อน และส่งผลให้อันตรายถึงชีวิตได้ในที่สุด
    นอกจากนี้ บางครั้งยังมีการนำเอาแป้งดินสอพองมาผสมสีบางชนิดเพื่อให้มีสีสันสดใส ซึ่งดินสอพองที่ผสมสีเหล่านี้ไม่ใช่ดินสอพองแท้ หรืออาจเรียกว่าเป็นดินสอพองปลอมก็ได้ โดยในดินสอพองปลอมเหล่านี้จะมีส่วนผสมของยิปซั่ม ซึ่งเป็นสารเคมีที่ค่อนข้างอันตราย และใช้เป็นวัสดุที่เหมาะสมต่อการทำฝ้าเพดาน ผลิตกระดาษ พลาสเตอร์ หรือซีเมนต์ มากกว่าการใช้สัมผัสผิวหนัง ดังนั้น หากแป้งดินสอพองประเภทนี้เข้าตา ก็จะทำให้รู้สึกระคายเคืองและกัดกร่อนดวงตาอันแสนบอบบางของเราได้ ส่วนไอระเหยจากแป้งดินสอพองประเภทนี้ก็เป็นอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน หากมีการสูดดมเข้าไปเป็นระยะเวลานานๆ อาจจะส่งผลให้ปอดทำงานผิดปกติ และส่งผลให้เกิดการติดเชื้อจนเป็นโรคปอดเรื้อรังได้
            ในด้านของการระคายเคืองของผิวหนัง แป้งดินสอพองก็มีผลให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังทำให้เกิดผดผื่นคันได้เช่นกัน ทั้งนี้เกิดจากการที่แป้งดินสอพองมีการผสมสีสังเคราะห์ลงไป และภายในสีสังเคราะห์เหล่านี้ก็จะมีสารประกอบของอะโรมาติกเอมีน ซึ่งส่งผลต่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพผิวจนก่อให้เกิดเป็นมะเร็งผิวหนังได้
สงกรานต์นี้ ระวัง ‘ดินสอพอง’ ไว้ให้ดี !!

    การจะควบคุมสินค้าดังกล่าวที่วางขายอยู่เกลื่อนท้องถนน เป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก เพราะถึงแม้จะตรวจยึดไปได้แล้ว ก็ยังคงมีผู้ผลิตรายอื่นๆที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีกลับมาผลิตขายได้อีกอยู่ดี ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือ การเพิ่มความระมัดระวังของผู้บริโภคในการเลือกซื้อดินสอพองที่มีคุณภาพ โดยสังเกตจากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือได้ เช่น ผลิตภัณฑ์ OTOP ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) เป็นต้น อีกทั้ง ไม่นำเอาดินสอพองที่มีสีสันฉูดฉาดมาใช้ เพียงเท่านี้ ก็ทำให้คุณปลอดภัยจากจากใช้ดินสอพองมากขึ้นได้แล้วละค่ะ

------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/HealthyThailandCenter    
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40HealthyThailand
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

ดูแลหน้าใสด้วยใบว่านหางจระเข้

ดูแลหน้าใสด้วยใบว่านหางจระเข้

 ว่านหางจระเข้ ถือเป็นสมุนไพรไทยที่เป็นที่รู้จักกันมาแต่ช้านาน คนโบราณนิยมปลูกว่านหางจระเข้ไว้ติดบ้าน หากเกิดอุบัติเหตุน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ หรือผิวหนังผุพอง ก็สามารถนำวุ้นจากว่านหางจระเข้นี้ มาใช้รักษาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ทันที ทั้งนี้ก็มีเหตุผลเนื่องมาจากคุณสมบัติภายในของว่านหางจระเข้ ที่นักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายคนได้ศึกษาทดลองมาแล้วว่า วุ้นของใบว่านหางจระเข้มีความสามารถในการรักษาบาดแผลและเร่งการสมานแผลได้จริง แต่นอกเหนือจากคุณสมบัติดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทุกคนทราบหรือไม่ค่ะว่า ว่านหางจระเข้ยังมีความสามารถในการรักษาผิวหน้าของเราให้ดูขาวใสเรียบเนียนได้อีกด้วย แต่จะเป็นเพราะเหตุผลประการใดนั้น ต้องมาศึกษาไปพร้อมๆกันค่ะ
    องค์ประกอบของเนื้อว่านหางจระเข้นั้น ประกอบไปด้วยน้ำเกือบทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 99% ในขณะที่อีก 1 % ที่เหลือ จะมีลักษณะเป็นของแข็ง ที่ประกอบไปด้วยสารโพลีแซคคาไรด์ โปรตีน เอนไซม์ วิตามิน หรือแร่ธาตุ เป็นต้น 
ดูแลหน้าใสด้วยใบว่านหางจระเข้


เป็นที่ยอมรับแล้วว่า “ว่านหางจระเข้” สามารถช่วยรักษาผิวหน้าที่ถูกแสงแดดแผดเผาได้เป็นอย่างดี แม้ว่าผิวหนังนั้นจะไหม้เกรียมเนื่องจากต้องเผชิญหน้ากับแสงแดด แต่หากได้รับการเยียวยาด้วยว่านหาหางงจระเข้แล้ว ก็มีสิทธิที่จะกลับคืนสู่สภาวะปกติได้ดังเดิมอีกครั้ง
    ด้วยเหตุนี้ จึงนิยมมีการนำเอาว่านหางจระเข้มาผสมเข้ากับโลชั่น เพื่อใช้ทาบำรุงผิวเพื่อป้องกันผิวไม่ให้ถูกแสงแดดแผดเผาได้เป็นอย่างดี โดยการเลือกว่านหางจระเข้ที่เหมาะสมมีหลักง่ายๆ คือ จะต้องเลือกใบว่านหางจระเข้ที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ขึ้นไป  เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ว่านหางจระเข้มีการสะสมแร่ธาตุเอาไว้ภายในอย่างมากเพียงพอ ทำให้ว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติในการเป็นยาสมุนไพรที่ครบถ้วน ดังนั้น จึงควรเลือกเอาใบที่อยู่ด้านล่างสุดของต้นมาใช้ก่อน เนื่องจากจะเป็นใบที่มีวุ้นอยู่ภายในมากที่สุด
ก่อนอื่นจะต้องนำว่านหางจระเข้ที่ตัดมาทั้งเปลือกไปแช่น้ำผสมกับเกลือก่อนสักประมาณ 10-15 นาที เพื่อล้างเอาคราบยางสีเหลืองที่ติดมาออกให้หมดจด และควรเปลี่ยนน้ำที่ใช้แช่ใบว่านหางจระเข้หลายๆครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถล้างยางออกได้หมดจริงๆ เพราะหากมียางสีเหลืองติดมาจะส่งผลให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง เป็นผื่นแดง หรือปวดแสบปวดร้อนได้ง่าย จากนั้นจึงนำว่านหางจระเข้มาปอกเอาเปลือกสีเขียวออกให้เหลือเฉพาะวุ้นสีใสๆข้างใน แล้วนำวุ้นที่ได้ไปล้างน้ำทำความสะอาดอีกครั้ง ก่อนจะนำเอาวุ้นไปปั่นหรือขยำให้แตกละเอียด ก็จะได้เป็น ‘เจลว่านหางจระเข้’ ออกมา ซึ่งเมื่อถึงขั้นตอนนี้ก็พร้อมที่จะนำมาบำรุงผิวหน้าของคุณแล้วละค่ะ
    อย่างไรก็ตาม ก็ที่จะชโลมเจลว่านหางจระเข้ลงบนผิวหน้า ก็ควรทำให้แน่ใจเสียก่อนว่าผิวหน้าของคุณนั้นไม่มีอาการแพ้สมุนไพรชนิดนี้จริง วิธีการทดลองก็ทำโดยการนำวุ้นว่านหางจระเข้นั้นมาทาในบริเวณโคนหูหรือท้องแขน ทิ้งเอาไว้สักครู่ก่อน หากไม่เกิดอาการคันหรือเป็นผื่นแดง ก็แสดงว่าคุณไม่ได้มีอาการแพ้เจลว่านหางจระเข้แต่อย่างใด และน่าจะสามารถนำเอามาบำรุงผิวหน้าได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ควรจำไว้ให้ดีว่า การใช้เจลว่านหางจระเข้ในการบำรุงผิว ควรหลีกเลี่ยงในบุคคลที่มีปัญหาสิวหัวหนอง เนื่องจากผลของการบำรุงด้วยว่านหางจระเข้ อาจจะทำให้สิวที่คุณกำลังเป็นอู่หายช้ามากกว่าเดิมได้
ดูแลหน้าใสด้วยใบว่านหางจระเข้

    ทีนี้มาดูกันดีกว่าว่าการใช้เจลว่านหางจระเข้บำรุงผิวหน้าในแต่ละบุคคลนั้น จะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้ผลที่คุณได้รับมีประสิทธิภาพสูงมากที่สุด
หากคุณเป็นคน “ผิวมัน” จะต้องเริ่มต้นจากการล้างผิวหน้าให้สะอาดเสียก่อน เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วจึงนำเอาเจลว่านหางจระเข้สดที่เตรียมเอาไว้ มาทาพอกให้ทั่วใบหน้าแต่เว้นรอบดวงตาและปากเอาไว้ จากนั้นทิ้งใบหน้าที่พอกเจลเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
แต่หากคุณเป็นคน “ผิวแห้ง” ให้เริ่มต้นทำความสะอาดผิวหน้าเหมือนกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่เจลว่านหางจระเข้ที่ใช้ ควรนำมาผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำมันมะกอกและไข่แดงเสียก่อน แล้วจึงนำเอาไปพอกให้ทั่วทั้งใบหน้า โดยเว้นรอบดวงตาและปากเอาไว้เช่นกัน ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำสะอาด
แต่หากวัตถุประสงค์ของคุณ คือ การพอกหน้าเพื่อให้มีผิวที่กระจ่างใสสวยงาม และลดความมันบนใบหน้า ให้นำเอาเจลว่านหางจระเข้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับดินสอพองปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ และนมสดอีก 1.5 ช้อนโต๊ะ ก่อนจะผสมทุกสิ่งอย่างให้เข้ากัน แล้วจึงนำไปพอกให้ทั่วทั้งใบหน้า โดยเว้นดวงตาและปากไว้เช่นเคย ใช้เวลาเท่ากับสูตรต่างๆที่เคยกล่าวมาที่ 20 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด ก็จะช่วยให้คุณมีใบหน้าที่ขาวกระจ่างใสขึ้นได้แล้วละค่ะ
    การพอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้สดๆนี้สามารถทำได้บ่อยครั้งตามที่ต้องการ แต่ถ้าจะให้เห็นผลที่ดี ควรทำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ซึ่งหากคุณมีวินัยในการพอกหน้าอย่างสม่ำเสมอ ผิวหน้าที่ขาวเนียนสดใสที่คุณรอคอยก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/HealthyThailandCenter    
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40HealthyThailand
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

เพิ่มความหนาแน่นกระดูกต้องทำอย่างไร

เพิ่มความหนาแน่นกระดูกต้องทำอย่างไร


   ภาวะกระดูกพรุน ถือเป็นมหันตภัยร้ายที่คอยโจมตีสุขภาพของมนุษย์เราอย่างช้าๆแต่สม่ำเสมอ วันนี้คุณอาจจะยังไม่เห็นผลร้ายของมันเสียเท่าไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานๆเข้าจนคุณมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ความร้ายกาจของมันก็จะค่อยๆแสดงตัวออกมาให้คุณได้รับรู้เอง
    องค์การอนามัยโลก (WHO) มีรายงานถึงสถิติของผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนทั่วโลกว่า ผู้ป่วยโรคนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นปัญหาทางสุขภาพอันดับสองรองจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดแล้ว ซึ่งความหนาแน่นของมวลกระดูกจะเริ่มลดลงหลังจากที่คุณมีอายุ 30 ปีขึ้นไปแล้ว เนื่องจากช่วงเวลานี้อัตราการสลายตัวกระดูกจะมีความเร็วมากกว่าอัตราการสร้างกระดูก ทำให้กระดูกในร่างกายของมนุษย์บอบบางลง จนเกิดเป็นภาวะ “กระดูกพรุน” ในที่สุด
เพิ่มความหนาแน่นกระดูกต้องทำอย่างไร

    ซึ่งปัจจุบันมีความตื่นตัวในการระหว่างภัยจากภาวะกระดูกพรุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากภาวะอาการเช่นนี้เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาว แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นภาวะที่สามารถป้องกันและชะลอความรุนแรงของมันได้ หากมีการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างทันท่วงที และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง
    เครื่องมือที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคนี้เพื่อตรวจความหนาแน่นของกระดูกก็มีอยู่หลากหลาย ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น หากใช้รังสีเอกซ์ในการตรวจวัด จะเรียกว่าเครื่อง ‘DEXA’ ซึ่งเป็นเครื่องตรวจที่มีความถูกต้องแม่นยำสูง ผู้เข้ารับการตรวจได้รับปริมาณรังสีน้อย รวมถึงสามารถตรวจวินิจฉัยกระดูกได้หลายส่วน แต่หากเป็นภาวะกระดูกสันหลังเสื่อม อาจจะทำให้ค่าที่ตรวจวัดได้มีความคลาดเคลื่อนไปจากเดิมได้สูง นอกจากนี้ อาจใช้เป็นเทคนิคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น QCT หรือ ULTRASOUND แต่ก็มักพบว่า วิธีทั้งสองนี้จะค่อนข้างมีความจำเพาะมากกว่าวิธีการตรวจวัดแบบ DEXA ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมและเหมาะสมมากที่สุด
    โดยการตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก มักจะตรวจในตำแหน่งที่มีโอกาสที่กระดูกจะเกิดการหักได้ง่ายมากที่สุด โดยมากจะตรวจวัด 3 ตำแหน่ง ได้แก่ กระดูกสันหลังส่วนเอว (Lumbar spine) กระดูกข้อสะโพก (Hip) และกระดูกปลายแขน (Forearm) ซึ่งไม่จำเป็นที่ผู้ที่เกิดภาวะกระดูกพรุนจะมีค่าความหนาแน่นของมวลกระดูกที่บริเวณทั้งสามเท่ากัน การวินิจฉัยให้ได้ผลที่แน่นอน จึงจำเป็นต้องตรวจค่ามวลกระดูกทั้ง 3 ตำแหน่งดังที่กล่าวมาแล้ว เพื่อให้ได้ผลที่ชัดเจนมากที่สุด
    หลังจากได้ค่าความหนาแน่นของมวลกระดูกมาแล้วในหน่วย ‘มวล/ตารางพื้นที่กระดูก (gm/sq cm, กรัม/ตารางเซนติเมตร)’ ก็ยังไม่สามารถจะระบุได้ทันทีว่า บุคคลนั้นๆเกิดภาวะกระดูกพรุนหรือไม่ ซึ่งจะต้องนำเอาค่านั้นๆ ไปเปรียบเทียบกับค่าปกติของกลุ่มคนที่มีอายุเท่ากัน หรือมีเชื้อชาติเดียวกันเสียก่อน จึงจะสามารถให้คำตอบได้ว่า คุณนั้นเข้าข่าย ‘ภาวะกระดูกพรุน‘ หรือไม่
    ซึ่งปัจจัยที่มีผลให้เกิดภาวะกระดูกพรุนก็มีอยู่หลากหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยด้านพันธุกรรม ปัจจัยด้านฮอร์โมนเพศหญิง ปัจจัยด้านโภชนาการ หรือปัจจัยที่เกี่ยวกับโรคทางอายุรกรรม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ทุกๆปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ หากคุณปฏิบัติตนได้ตามที่จะกล่าวต่อไปนี้ รับรองได้ว่า น่าจะช่วยให้คุณห่างไกลจากภาวะกระดูกพรุนไปได้อีกนานพอสมควรแน่นอน
    วิธีการที่จะหลีกเลี่ยงหรือลดการเกิดภาวะกระดูกพรุนมีได้หลายวิธี โดยหลักก็คือ การพยายามรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีแคลเซียมสูง และพยายามลดปริมาณอาหารที่มีโปรตีนจำพวกเนื้อสัตว์ให้น้อยลง แต่ก็ยังต้องรับประทานโปรตีนเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วย อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญ ก็คือ การออกกำลังกาย ที่จะต้องทำให้ได้เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญสุดๆ ก็คือ จะต้องทำให้ถูกวิธีด้วย เพราะหากทำผิดวิธี นอกจากจะไม่เป็นการเพิ่มมวลกระดูกแล้ว ยังเป็นการทำลายกระดูกทางอ้อมอีกด้วย
    การออกกำลังกายที่จะไปช่วยเพิ่มมวลกระดูก ควรเป็นการออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก (weight-bearing exercise) เนื่องจาก กระดูกเป็นอวัยวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และสามารถรับรู้แรงเชิงกลที่ร่างกายถูกกระทำได้ เพราะหากเมื่อใดที่กล้ามเนื้อออกแรงกระทำต่อกระดูกมาก เซลล์กระดูกก็จะสร้างเนื้อกระดูกเพิ่มมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากร่างกายออกแรงกระทำต่อกระดูกน้อย ก็จะมีผลให้เกิดการสลายตัวของกระดูกมากขึ้นนั้นเอง
    ดังนั้นการออกกำลังกายที่จะช่วยเพิ่มการสร้างมวลกระดูกที่ดีนั้น จะต้องเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้กระดูกส่วนนั้นๆ ได้มีโอกาสแบกรับน้ำหนักที่มากพอสมควร เช่น ไทชิ โยคะ การวิ่งเหยาะๆ หรือการวิ่งออกกำลังกายบนสายพาน เป็นต้น ซึ่งมีงานวิจัยสนับสนุนไว้ว่า การที่ผู้หญิงทั้งกลุ่มที่มีประจำเดือน และวัยที่หมดประจำเดือนไปแล้ว ได้รับการออกกำลังกายด้วยวิธีการเดินบนลู่วิ่งในระดับปานกลางถึงหนัก จะมีผลให้การสลายตัวของเนื้อเยื่อมวลกระดูกลดลง ซึ่งผลที่พบสามารถเห็นได้ชัดตั้งแต่เดือนแรกของการออกกำลังกายเลยทีเดียว และยังมีแนวโน้มที่จะเกิดการสร้างเนื้อเยื่อกระดูกเพิ่มขึ้นด้วย หากการออกกำลังกายของคนกลุ่มนี้สามารถทำต่อไปได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
    ไม่ยากเลยใช่ไหมละค่ะ กับการพยายามสร้างความหนาแน่นที่ดีให้แก่กระดูก ใครที่สะสมความแข็งแรงนี้ได้ก่อน ก็ย่อมมีทุนสุขภาพที่สูงกว่าคนที่ไม่ยอมออกกำลังกายเลย เพราะฉะนั้น การเริ่มต้นออกกำลังกายเสียตั้งแต่วันนี้ น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรงไปได้อย่างยาวนาน

------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/HealthyThailandCenter    
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40HealthyThailand
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

วาซาบิ..เพิ่มรสชาติ เพิ่มประโยชน์

วาซาบิ..เพิ่มรสชาติ เพิ่มประโยชน์


วาซาบิ เป็นเครื่องปรุงรสที่ชาวญี่ปุ่นนิยมใช้กันมาอย่างยาวนานกว่าพันปีแล้ว และถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการรับประทานอาหารญี่ปุ่นจำพวกซูชิหรือปลาดิบ เพราะว่าวาซาบินี้จะเข้าไปช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารญี่ปุ่นให้อร่อยมากยิ่งขึ้นกว่าการรับประทานคู่กับโชยุเพียงอย่างเดียว แต่คุณรู้หรือไม่ค่ะว่า นอกจากความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมันแล้ว วาซาบิยังมีความลับอีกหลายอย่างที่แอบซ่อนอยู่ ถ้าคุณพร้อมแล้ว เราจะออกไปค้นหาคำตอบพร้อมๆกันตอนนี้เลยค่ะ
เชื่อว่าทุกคนคงจะรู้จัก ‘เครื่องปรุงรสสีเขียวๆที่มีรสชาติเผ็ดจี๊ดขึ้นจมูก’ ที่ว่านี้กันอย่างแน่นอน และก็คงมีหลายคนที่เกิดอาการหลงใหลในวาซาบิเป็นอย่างมาก ในขณะที่บางคน ก็ไม่ชอบเอาเสียเลยที่จะต้องฝืนรับประทานมันเข้าไป ความโดดเด่นด้านรสชาติที่ไม่เหมือนใครนี้ เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้บริโภคทั้งหลายอยากลิ้มลอง และทำให้วาซาบิถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร หรือใช้ในการแต่งกลิ่นแต่งรสในอาหารหลากหลายชนิด
หากกล่าวถึงที่มาของเครื่องปรุงที่เรียกว่า “วาซาบิ” นี้แล้ว หลายๆคนคงจะเดาไม่ออกว่าความเผ็ดและความฉุนที่เกิดขึ้นนี้ เกิดมาจากอะไรกันแน่? ซึ่งที่มาของวาซาบิเกิดมาจากการนำเอาโคนลำต้นของต้น Canola มาฝนหรือบดให้ละเอียดเป็นก้อนตามลักษณะที่เราพบเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน หรืออาจกล่าวได้ว่า วาซาบิ จัดเป็นพืชตระกูลกะหล่ำเช่นเดียวกับบร็อกโคลี่ กะหล่ำปลี และมัสตาร์ด นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อที่เล่าสืบต่อกันมาว่า วาซาบิที่ดีที่สุด ก็คือ วาซาบิสดที่ทำการฝนกับหนังปลาฉลามด้วย
วาซาบิ..เพิ่มรสชาติ เพิ่มประโยชน์

           ความรู้สึกเผ็ดของวาซาบิจะไม่เหมือนกับการที่เรารับประทานพริก ที่ทุกคนน่าจะเคยมีประสบการณ์การรับประทานเผ็ดกันมาแล้วในอดีต แต่ความเผ็ดของวาซาบิจะเป็นรสเผ็ดที่ขึ้นจมูกอยู่เพียงชั่วครู่ ทำให้รู้สึกแสบจมูกเพียงในระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากวาซาบิสามารถระเหยได้ง่ายเพียงแค่สัมผัสกับน้ำและความร้อนเพียงเล็กน้อย ทำให้เมื่อเรารับประทานวาซาบิเข้าไป รสชาติของมันจะค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นความกลมกล่อม ทั้งขมและหวานผสมผสานกันไป อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ครองใจคนทั่วโลกมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอแนะนำเพิ่มเติมอีกนิดสำหรับคนที่ชอบรับประทานวาซาบิคู่กับโชยุ และนำเอาส่วนผสมทั้งสองผสมรวมกันก่อนจะรับประทาน การกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้องเท่าไรนัก เพราะจะทำให้วาซาบิละลายไปกับโชยุได้ง่าย และมีผลให้คุณไม่มีโอกาสได้รับรู้รสชาติของวาซาบิแบบแท้จริงได้ ดังนั้น วิธีการรับประทานที่จะทำให้รับรู้ถึงรสชาติของวาซาบิอย่างแท้จริง จึงควรรับประทานแยกกัน เพื่อดึงความโดดเด่นของกลิ่นและรสของวาซาบิออกมาให้ได้มากที่สุด
วาซาบิ..เพิ่มรสชาติ เพิ่มประโยชน์


    ไม่เพียงแต่เรื่องรสชาติที่โดดเด่นเพียงเท่านั้น เพราะวาซาบิยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอีกหลายประการ วาซาบิมีผลต่อการฆ่าเชื้อโรค ต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ลดการแพร่พันธุ์ของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ และสามารถกำจัดพยาธิ Anisakis ซึ่งเป็นพยาธิชนิดที่อาศัยอยู่ในปลาได้ดีอีกด้วย การรับประทานปลาดิบเข้าไปพร้อมๆกับวาซาบิ จึงเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันไม่ให้พยาธิเข้ามาโจมตีระบบการย่อยอาหารของมนุษย์ได้นั่นเอง โดยวารสาร International Journal of Food Biology เปิดเผยว่า วาซาบิที่ผลิตจากญี่ปุ่นและเกาหลี มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังช่วยต่อต้านเชื้ออีโคไล (E. coli) และเชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) อันเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วงที่คนส่วนใหญ่มักพบเจอได้เสมอด้วย
    และเมื่อไม่นานมานี้เอง เรายังค้นพบคุณสมบัติอันแสนพิเศษวาซาบิ ที่สามารถช่วยในการรักษาโรคร้ายแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญได้ยืนยันแล้วว่า การรับประทานวาซาบิมีผลต่อการออกฤทธิ์ต่อต้านสารก่อมะเร็ง ซึ่งเป็นผลดีต่อผิวหนังของมนุษย์ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการป้องกันไม่ให้เกล็ดโลหิตจับตัวกันเป็นก้อน หรือป้องกันการเกิดเส้นเลือดอุดตันได้อีกด้วย โดยสถาบัน Linus Pauling Institute (LPI) ได้ทำการศึกษาสมมติฐานในเรื่องนี้ และค้นพบว่า สารไอโซไทโอไซยาเนตในวาซาบิ สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดในสัตว์ เช่น โรคมะเร็งในปอด, กระเพาะอาหาร, ลำไส้เล็ก, ลำไส้ใหญ่, ตับ, หลอดอาหาร, ช่องท้อง และมะเร็งเต้านม ได้เช่นเดียวกับการรับประทานผักในตระกูลกะหล่ำ ส่วนศูนย์เทคโนโลยีชีวิตภาพแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ได้ทำการทดลองศึกษาความสัมพันธ์ของสารไอโซไทโอไซยาเนตที่มีผลต่อเซลล์มะเร็งตับอ่อนในมนุษย์ ซึ่งก็ให้ข้อสรุปว่า การรับประทานวาซาบิอาจจะสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับอ่อนได้
    หลากหลายประโยชน์ของเครื่องปรุงชนิดนี้ คงจะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่อยากมีสุขภาพดี แต่ก็ยังต้องการความอร่อยในเวลาเดียวกัน หากมีโอกาสได้เลือกรับประทานวาซาบิ ก็อย่าลืมเลือกวาซาบิที่เป็นของแท้ เพื่อคุณประโยชน์ต่อร่างกายที่ดีกว่าด้วยนะคะ

------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/HealthyThailandCenter    
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40HealthyThailand
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

‘บอดี้คอมแบท’ เล่นง่ายไม่มีเบื่อ

‘บอดี้คอมแบท’ เล่นง่ายไม่มีเบื่อ

เชื่อว่าหลายคนที่ออกกำลังกายอยู่เสมอ บางครั้งบางทีอาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการออกกำลังกายในลักษณะซ้ำๆเดิมๆ ที่เคยทำอยู่ทุกวัน จนในบางครั้งก็พาลให้รู้สึกไม่อยากไปออกกำลังกายได้ วันนี้เราจึงขอมาแนะนำทางเลือกของการออกกำลังกายรูปแบบใหม่ ที่จะช่วยทำให้คุณสนุก และลบเลือนความเบื่อหน่ายที่เคยมีไปได้ การออกกำลังกายชนิดนี้สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย และที่สำคัญก็คือ สามารถทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีและดูแข็งแรงได้ ไม่แพ้กับการออกกำลังกายรูปแบบอื่นๆเลย
‘บอดี้คอมแบท’ เล่นง่ายไม่มีเบื่อ
ภาพจาก : http://hereisthecity.com/en-gb/2013/07/10/from-banking-to-bodycombat/ ‘บอดี้คอมแบท’ เล่นง่ายไม่มีเบื่อ

    ต้องยอมรับว่าการออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องที่สะดวกสบาย แต่เป็นความเหน็ดเหนื่อยที่ทำไปเพื่อให้ร่างกายมีความสมบูรณ์แข็งแรงมากขึ้น แต่ถ้าเราสามารถเลือกการออกกำลังที่สนุก มาเป็นตัวช่วยกระตุ้นแรงจูงใจในการออกกำลังกายให้มากขึ้นได้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเช่นกัน
    รูปแบบการออกกำลังกายที่เราจะพูดถึงวันนี้ มีชื่อเรียกว่า “บอดี้คอมแบท (Body Combat)” ซึ่งเป็นการออกกำลังกายแนวใหม่ที่ใช้ท่าพื้นฐานของการต่อสู้หลายๆชนิด ทั้งมวยไทย คาราเต้ ไทชิ หรือชิกง มาปรับให้กลายเป็นท่าเต้นสนุกๆที่เข้ากับจังหวะเสียงเพลง
    บอดี้คอมแบท อาจเรียกอีกชื่อว่าเป็นการออกกำลังกายแบบ ‘Fighting Aerobic’ ซึ่งเป็นการออกแรงโดยอาศัยการผสมผสานกับศิลปะการต่อสู้ที่มีการออกแบบท่าทางออกมาอย่างชัดเจน และเพิ่มบรรยากาศให้น่าสนใจมากขึ้นโดยมีเสียงเพลงเป็นส่วนประกอบ ผู้ที่ออกกำลังกายด้วยวิธีบอดี้คอมแบท จึงได้ทั้งการออกแรง ออกเสียง และเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เร้าใจ และฮึกเหิม ตลอดเวลา ทำให้สามารถปลดปล่อยพลังภายในตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่
การเล่นบอดี้คอมแบทมีผลให้อวัยวะทุกๆส่วนในร่างกายได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ฝึกให้กล้ามเนื้อแข็งแรง บริหารข้อต่อตามอวัยวะต่างๆให้คล่องตัว และเผาผลาญพลังงานหรือไขมันส่วนเกิน อีกทั้งยังเป็นการบริหารการหายใจ การทำงานของปอดและกล้ามเนื้อหัวใจได้เป็นอย่างดี โดยวิธีการเล่นจะเริ่มต้นจากการวอร์มเบาๆทั้งร่างกายส่วนบนและส่วนล่าง ก่อนจะเร่งจังหวะให้เร้าใจมากขึ้นเพื่อเริ่มเข้าสู่การใช้ทักษะการต่อสู้ด้วยการชก เตะ หรือต่อย ซึ่งจังหวะเพลงจะค่อยๆไต่ระดับความยากมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้เล่นจึงต้องพยายามควบคุมจังหวะการออกอาวุธให้สัมพันธ์กับจังหวะเสียงเพลงให้มากที่สุด หรือทำให้การเคลื่อนไหวทั้งแขนและขาสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน และในตอนท้ายที่สุดก็จะปรับจังหวะดนตรีให้ช้าลง เพื่อกระชับกล้ามเนื้อและปรับร่างกายให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติดังเดิม ซึ่งหากสามารถเล่นบอดี้คอมแบทได้ต่อเนื่องครบทั้ง 9 แทรค ก็จะทำให้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายได้เคลื่อนไหวอย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากท่าออกกำลังกายในแต่ละแทรค จะเป็นการบริหารร่างกายแต่ละส่วนที่มีความแตกต่างกันออกไป  การออกกำลังกายแบบเต็มรูปแบบ จึงเป็นการช่วยให้อวัยวะทุกๆส่วนได้ออกแรงแบบเต็มที่มากที่สุด
 บอดี้คอมแบท
เป็นการออกกำลังกายสำหรับบุคคลทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง หรือผู้ชาย แต่ยกเว้นไว้สักนิดในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก เนื่องจากการออกกำลังกายด้วยวิธีนี้จะมีการเคลื่อนไหวอวัยวะที่รวดเร็วและค่อนข้างรุนแรง ผู้ป่วยโรคดังกล่าวจึงอาจได้รับบาดเจ็บจากการออกท่าทางเหล่านี้ได้
    ส่วนสาวๆคนไหนที่อยากเรียนรู้วิชาการป้องกันตัว บอดี้คอมแบทก็เป็นอีกทางเลือกที่จะทำให้สาวๆได้เรียนรู้ถึงท่าทางการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็น การตั้งการ์ด การปล่อยหมัดแย้บไปข้างหน้า การต่อยหมัดครอสจากช่วงหัวไหล่ การต่อยหมัดตรง การต่อยหมัดฮุค การต่อยหมัดเสยปลายคาง การเตะไปข้างหน้า การเตะไปข้างๆ การเตะกวาด การตีเข่า หรือแม้กระทั่งการกระโดดเตะ เป็นต้น
หากเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นจริง สาวๆจะได้ไม่ต้องหวังพึ่งแต่เพียงโชคชะตาหรือรอให้ใครมาช่วย เพราะตัวเราก็สามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่เช่นกัน
    ในส่วนของประโยชน์ต่อร่างกาย จะสังเกตได้อย่างชัดเจนเมื่อคุณออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละประมาณ 3-4 ครั้ง โดยสิ่งที่จะมีผลต่อร่างกายก็มีหลากหลายประการ ได้แก่ การช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระตือรือร้น ตื่นตัวอยู่เสมอ และสร้างความแข็งแรงทนทานแก่ร่างกาย ส่วนไขมันที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวหนังก็จะค่อยๆถูกเบิร์นให้หายไป ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ ดูมีทรวดทรงองค์เอวมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ทั้งกล้ามเนื้อหัวใจและระบบการทำงานของสมอง ก็จะถูกพัฒนาให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นเช่นกัน ทำให้การไหลเวียนของโลหิตเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนสมองก็ถูกพัฒนาให้มีไหวพริบที่ดีมากขึ้นด้วย ส่วนสุดท้ายก็คือ การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์
ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และทำให้อารมณ์ดีได้
‘บอดี้คอมแบท’ เล่นง่ายไม่มีเบื่อ

          อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายแบบบอดี้คอมแบท ถือเป็นการออกกำลังกายที่ค่อนข้างหนัก ผู้ที่เริ่มเล่นระยะแรกจึงอาจจะรู้สึกเหนื่อยจนทนไม่ได้ ซึ่งหากรู้สึกว่าร่างกายไม่ไหว ก็ไม่ควรฝืน แต่ควรหยุดพักเป็นระยะๆ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้เพิ่มขึ้นทีละน้อย และเมื่อคุณผ่านการออกกำลังกายไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว ร่างกายก็จะสามารถปรับตัวได้เอง ทำให้รู้สึกเหนื่อยช้าลง เล่นได้นานมากขึ้น  และนั่นก็จะเป็นช่วงเวลาที่คุณสามารถเผาผลาญไขมัน หรือกระชับกล้ามเนื้อได้ดีที่สุดนั่นเอง

------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/HealthyThailandCenter    
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40HealthyThailand
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

บริหารดวงตา บอกลาสายตาสั้น

บริหารดวงตา บอกลาสายตาสั้น

ความเมื่อยล้าทางสายตาเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อเราจำเป็นต้องใช้สายตาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทั้งการใช้สายตาหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือการจดจ้องกับบางสิ่งบางอย่างอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในชีวิตประจำวัน เรายังคงต้องทำงานในพฤติกรรมที่ว่านี้อยู่เสมอ ซึ่งการที่ต้องทนกับความเมื่อยล้าเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ก็คงเป็นบ่อเกิดแห่งโรคร้ายเข้าสักวัน การพยายามผ่อนคลายสายตา จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ทุกคนควรรู้และนำไปใช้กับตัวเองให้ได้มากที่สุด
    การออกกำลังกายดวงตา เพื่อคลายความเมื่อยล้าประกอบไปด้วยขั้นตอนที่หลากหลาย แต่เราจะขอสรุปขั้นตอนง่ายๆที่น่าจะช่วยทำให้ดวงตาฟื้นฟูจากความเมื่อยล้าได้อย่างดี จะมีอะไรบ้างนั้น ลองมาใช้สายตาของคุณกันตอนนี้เลยดีกว่าค่ะ
บริหารดวงตา บอกลาสายตาสั้น


    เริ่มต้นจาก การกระพริบตา กันก่อน แม้ว่าความจริงแล้ว ดวงตาของเราจะมีการกระพริบอยู่อย่างอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่ในบางช่วงเวลาที่เราจำเป็นต้องใช้สายตามากๆ หรือมีสมาธิจดจ้องกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป ก็อาจมีผลให้ร่างกายลืมกระพริบตาไปได้ชั่วขณะ ซึ่งการที่เราไม่กระพริบตามตามธรรมชาตินั้น จะส่งผลให้เกิดอาการตาแห้งหรือตาแสบได้ง่าย เนื่องจากไม่มีน้ำตามาหล่อเลี้ยงลูกตาอย่างมากเพียงพอ และทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าหรือเพลียสายตาได้ง่ายกว่าปกติ ดังนั้น วิธีการแรกที่ง่ายที่สุดก็คือการพยายามกระพริบตาให้บ่อยครั้ง ให้ได้ประมาณ 4 วินาทีต่อครั้ง เพื่อเป็นการหล่อเลี้ยงความชุ่มชื้นของดวงตาให้ยาวนานอยู่เสมอนั่นเอง
นอกจากการกระพริบตาแล้ว อีกหนึ่งวิธีที่ควรทำเพื่อผ่อนคลายสายตาก็คือ “การกลอกตา” วิธีนี้ทำได้ง่ายๆทุกๆชั่วโมง เพียงแค่คุณหลับตา แล้วกลอกตาช้าๆเป็นวงกลมอย่างน้อยประมาณ 1 นาที นอกจากการกรอกตาจะเป็นการเบรกการใช้สายตาที่ถูกแสงและรังสีทำร้ายแล้ว การกรอกตายังเป็นเสมือนการบริหารและคลายความเกร็งตัวของดวงตาอีกด้วย นอกจากการกรอกตาในลักษณะที่ว่ามานี้แล้ว ยังมีวิธีการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตาได้อีกวิธีหนึ่ง ทำได้โดยการตั้งศีรษะให้ตรง เหลือบตามองขึ้นไปบนเพดานโดยไม่ขยับศีรษะ มองค้างไว้ 5 วินาที ก่อนจะเหลือบตาลงมามองด้านล่าง ค้างไว้ 5 วินาที เช่นเดียวกัน จากนั้นให้มองในมุมทแยงจากมุมขวาบนลงมุมซ้ายล่าง หรือจากมุมซ้ายบนลงมุมขวาล่าง ปิดท้ายด้วยการมองที่ปลายจมูก แล้วจึงหลับตาสักพักเพื่อผ่อนคลายดวงตา หากเมื่อใดที่คุณรู้สึกปวดตา ก็ลองนวดตาด้วยวิธีนี้กันดูนะคะ รับรองว่าจะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายไปได้เยอะเลยเชียวค่ะ

    อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยได้ ก็คือ “การหลับตาให้แน่นที่สุด เท่าที่จะทำได้ แล้วลืมตาขึ้นทันที จากนั้นจึงใช้ปลายนิ้วก้อยกดนวดเบาๆบริเวณใต้ตา เพื่อป้องกันไม่เกิดริ้วรอยยับย่น ทำซ้ำจนรู้สึกผ่อนคลาย ก็น่าจะเป็นอีกวิธีที่ช่วยบริหารดวงตาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
บริหารดวงตา บอกลาสายตาสั้น

    ท่าต่อมาคือ “การประคบดวงตาด้วยฝ่ามือ” หากคุณรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการใช้สายตามานาน ลองเอาฝ่ามือทั้งสองข้างถูกกันอย่างรวดเร็วจนพอให้เกิดความร้อน จากนั้นหลับตาแล้วนำเอาฝ่ามือนั้นไปประคบที่ดวงตา โดยทำฝ่ามือในลักษณะรูปทรงคล้ายถ้วย ประคบดวงตาทั้งสองข้างทิ้งไว้สักครู่ ให้ไออุ่นจากฝ่ามือค่อยๆแทรกซึมผ่านชั้นผิวหนังลงไปสู่กล้ามเนื้อบริเวณดวงตา ความร้อนนี้จะช่วยคลายความเครียดเกร็งจากการเพ่งสายตาได้เป็นอย่างดี
แต่หากคุณไม่ได้ทำงานอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมปิดตายแคบๆ ก็ลองใช้วิธี “การกวาดสายตาระยะไกล เพื่อผ่อนคลายสายตาดูได้ การละสายตาจากงานที่กำลังทำอยู่ตรงหน้า ไปชื่นชมกับวิวทิวทัศน์ข้างนอกบ้าง และหมั่นปรับระยะโฟกัสสายตาด้วยตัวเองบ่อยๆ โดยการจ้องมองไปยังวัตถุที่มีระยะไกลจากตัวของคุณในรัศมีประมาณ 50 เมตร จ้องมองค้างไว้สักพักก่อนจะเลื่อนสายตามาจับโฟกัสที่วัตถุใกล้ตัวในระยะใกล้เพียงช่วงแขน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยไม่ให้ดวงตาทำงานหนักมากเกินไปได้เช่นกัน และเปรียบเหมือนกับการได้ยืดเส้นยืดสายให้กล้ามเนื้อตาด้วย แต่ก็อย่าเผลอทำบ่อยมากเกินไปนะคะ เดี๋ยวเจ้านายจะหาว่าคุณอู้งานได้
มาถึงการบำรุงด้วย “อาหารการกิน” กันบ้าง เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะกำลังรออ่านวิธีนี้อยู่ เพราะอาหารที่ช่วยในการบำรุงสายตา ล้วนแต่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์และความอร่อยทั้งนั้น ใครที่อยากมีสายตาดี ควรหันมารับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุหรือวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อการบำรุงสายตากันให้บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผักใบเขียว แครอท ไข่ ปลาทะเล รวมทั้งธัญพืชที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ทั้งนี้ก็เพื่อยืดอายุการใช้งานของดวงตาคู่สวยให้อยู่กับคุณไปได้อย่างยาวนานนั่นเอง
    ดวงตาเป็นอวัยวะที่ขึ้นชื่อว่ามีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตอย่างมากที่สุด เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการมองเห็น และช่วยให้คนเราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข การหันมาดูแลเอาใจใส่ดวงตาคู่สวยด้วยการบริหารดวงตา จึงช่วยให้สามารถป้องกันอาการสายตาสั้น สายตายาว หรือปัญหาทางสายตาเรื่องอื่นๆได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา ทำให้คุณสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ด้วย

------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/HealthyThailandCenter    
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40HealthyThailand
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

เพาะปลูกความทรงจำ

เพาะปลูกความทรงจำ

  ทำไมถึงขี้ลืมแบบนี้? บางคนคงเคยคิดตำหนิตัวเองอยู่เรื่อยว่าทำไมถึงหลงลืมสิ่งต่างๆได้ง่ายนัก ซึ่งการจำไม่ได้อาจไม่ได้หมายความว่าสมองของคุณผิดปกติเสมอไป แต่อาจเกิดขึ้นเพราะคุณไม่ได้จัดเรียงความทรงจำอย่างเป็นระเบียบเพียงพอ หากคุณสามารถวางระบบการจัดข้อมูลในความทรงจำได้เป็นอย่างดี เมื่อถึงเวลาที่จะหยิบยกเอาความคิดที่เคยฝังเอาไว้ในสมองออกมาใช้ ก็จะสามารถทำได้ง่ายแล้วรวดเร็ว วันนี้เราจึงมาขอแนะนำวิธีในการจัดระเบียบข้อมูลให้เป็นขั้นเป็นตอน แต่จะต้องทำอย่างไรบ้างนั้น ไปดูพร้อมๆกันได้เลยค่ะ
เพาะปลูกความจำ

     1. คิดทบทวนถึงสิ่งนั้น ๆ อย่างน้อย 8 วินาที
ในปัจจุบันนี้ การสังเกตหรือจดจำสิ่งต่างๆรอบตัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง บางครั้งเราจึงไม่จำเป็นต้องใช้สมองของเราเลยด้วยซ้ำ เพราะเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน สามารถจดจำหรือทำงานแทนเราได้เกือบทั้งหมดแล้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้เราหลงลืมที่จะลับสมองของเราให้แหลมคมอยู่ตลอดเวลา การจะช่วยพัฒนาสมองให้มีความจำที่ดี จึงควรที่จะต้องฝึกการครุ่นคิดถึงสิ่งๆนั้นให้ได้เวลาอย่างน้อย 8 วินาที เพื่อทำให้สมาธิของเราจดจำวนเวียนอยู่กับสิ่งนั้นๆในเวลาพอสมควร ทั้งนี้ก็เพราะว่า มีผลการศึกษาแนะนำมาแล้วว่า ช่วงเวลา 8 วินาที คือ ช่วงเวลาที่ต่ำที่สุดที่สมองจะใช้เพื่อย้ายข้อมูลหนึ่งๆที่เราได้รับมาจากส่วนความจำระยะสั้น ไปเก็บเอาไว้ยังส่วนความจำระยะยาว ดังนั้น หากเราคิดทบทวนให้นานกว่า 8 วินาทีได้ ก็ย่อมมีผลให้สมองจดจำข้อมูลได้อย่างยาวนานมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

     2. ใช้แบบอักษรประหลาดๆ
การสร้างความแปลกประหลาดให้แก่สิ่งที่ต้องการจะจดจำ สามารถช่วยทำให้คุณจดจำข้อมูลสำคัญเหล่านั้นได้ดีขึ้น 
นักวิจัยค้นพบความจริงเรื่องหนึ่งว่า การเพิ่มขนาดตัวอักษรและทำตัวหนานั้น ไม่สามารถทำให้เราจดจำได้ดีเท่ากับการใช้ตัวอักษรแปลกประหลาด เพราะการที่มันอ่านยากกว่าปกติหรือต่างไปจากความเคยชิน จะเป็นหนทางที่ทำให้เราจดจำข้อมูลเหล่านั้นได้ดีที่สุด 

     3. เริ่มจากมือข้างถนัดเสียก่อน
              จากการศึกษาพบว่า หากเราเริ่มจดจำส
ิ่
งรอบตัวจากร่างกายก่อน จะช่วยให้เราสามารถใช้สมองจดจำสิ่งต่างๆได้ดีมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ หากเราเป็นคนถนัดมือขวา ก็ให้ฝึกทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยมือขวาก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งการที่เราคุ้นเคยกับการใช้มือขวาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็จะทำให้สมองจดจำหรือระลึกถึงสิ่งเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงค่อยลองใช้มือซ้ายข้างที่ไม่ถนัดจับต้องสิ่งเหล่านั้นอีกสักพัก เพื่อให้ข้อมูลถูกบีบอัดอยู่ในหัวของเราได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น

     4. หลีกเลี่ยงการเดินผ่านประตู
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าในขณะที่เรากำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ แล้วเผลอเดินผ่านประตูเข้าไปในห้องหนึ่งๆ จะทำให้ความทรงจำที่เรากำลังคิดอยู่ในขณะนั้นหายไปอย่างกะทันหัน คุณอาจจะลืมว่า “นี่ฉันเข้ามาทำอะไรในห้องนี้เนี่ย” ทั้งๆที่เมื่อสักครู่นี้ คุณยังจำได้อยู่เลยว่าเหตุผลที่ทำลงไปคืออะไร ทั้งนี้ก็มีเหตุผลมาจากการเดินจากห้องหนึ่งสู่ห้องหนึ่งผ่านประตูเนี่ยละ ที่มีแนวโน้มที่จะทำให้สมองของเราว่างเปล่าแบบกะทันหัน อย่างที่มีการทดลองจาก
ผู้เชี่ยวชาญแล้วว่า หากให้ผู้เข้ารับการทดสอบนำเอาวัตถุชิ้นหนึ่งเข้าไปวางในห้อง จากนั้นสั่งให้เดินออกมา แล้วยิงคำถามทันทีเมื่อเขาเดินทางก้าวพ้นขอบประตูออกมา ซึ่งผลการทดลองพบว่า กลุ่มผู้ทดสอบมีแนวโน้มที่จะหลงลืมว่าวัตถุชิ้นนั้นที่เพิ่งจับต้องไปคืออะไร มากกว่ากลุ่มคนที่เดินออกจากวัตถุในระยะทางเท่ากันแต่ยังคงอยู่ภายในห้องนั้น โดยผู้เชี่ยวชาญได้ให้เหตุผลว่า การเดินเข้าสู่สถานที่แห่งใหม่จะเปรียบเสมือนการรีสตาร์ทสมองของเรา ทำให้เราเริ่มที่จะจดจำในสิ่งใหม่ และแน่นอนว่าสิ่งเดิมที่เคยคิดไว้ก็จะถูกหลงลืมไปนั่นเอง

     5. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายไม่ได้ทำให้ร่างกายแข็งแรงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้านความจำอีกด้วย เพราะการที่เราลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างทางกายภาพ จะทำให้ร่างกายและสมองมีความตื่นตัวเพิ่มมากขึ้น และเป็นการเพิ่มออกซิเจนที่จะเข้าไปเลี้ยงในสมองด้วย ทำให้ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์สมองในส่วนที่ตอบสนองต่อความทรงจำได้เป็นอย่างดี งานวิจัยกล่าวถึงการออกกำลังกายที่มีผลต่อความจำไว้ว่า หลังจากที่ผู้หญิงผ่านการออกกำลังกายเบาๆไปแล้ว จะทำให้พวกเธอสามารถจำจดสิ่งต่างๆ ได้ดีมากกว่าช่วงก่อนการออกกำลังกาย และหากผู้หญิงกลุ่มนั้นผ่านการออกกำลังกายมานานติดต่อกัน 6 เดือน ก็จะมีส่วนในการพัฒนาความจำด้านภาษาและสภาพแวดล้อมได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วย

------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/HealthyThailandCenter    
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40HealthyThailand
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8

เห็บ…วายร้ายใกล้ตัวคุณ

เห็บ…วายร้ายใกล้ตัวคุณ


เจ้าตูบ ถือเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรู้ที่ใครๆก็หลงรัก และชอบที่จะอยู่ใกล้ชิดกับมันตลอดเวลา แต่เนื่องจากเจ้าสุนัขสุดรักของคุณ มักจะมีเห็บอาศัยอยู่เป็นเพื่อนใกล้ตัวกับมันด้วย จึงทำให้หลายๆคนเชื่อกันว่า การที่เรากอดรัดฟัดเหวี่ยงกับสัตว์เลี้ยงแสนรักของเรา อาจมีผลให้ร่างกายของเราได้รับเห็บตัวน้อยๆเข้าไปสู่ร่างกายได้ ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นจริงอย่างที่ใครพูดไว้หรือไม่ ต้องมาดูไปพร้อมๆกันตอนนี้เลยค่ะ
เห็บ...วายร้ายใกล้ตัวคุณ

          หากจะพูดถึงเห็บแล้ว จะพบว่าพวกมันนั้นมีอยู่มากมายหลายชนิด หลายสปีชีส์ (species) และเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นปรสิตภายนอกร่างกาย (Ectoparasite) ที่อยู่อาศัยของมันจึงมักจะอยู่ตามผิวหนัง ซอกนิ้ว หรือในใบหูของน้องหมา และกินเลือดของน้องหมาเป็นอาหารหลัก เมื่อใดที่มันกินเลือดจนอิ่มหมีพีมันแล้ว มันก็จะลอกคราบ ผสมพันธุ์ หรือวางไข่ต่อไป เป็นวงจรชีวิตเช่นนี้เรื่อยๆ
    เห็บเหล่านี้ทำอะไรกับเจ้าสุนัขของเราได้บ้าง สิ่งแรกที่เห็นได้เลย ก็คือ การถูกเจ้าเห็บกัดและดูดเลือด ซึ่งหากโดนในปริมาณมากๆ อาจมีผลให้สุนัขแสนรักของเราเกิดภาวะโลหิตจาง ป่วย ซึม อ่อนแรง ส่วนในกรณีที่หากโดนกัดมากๆ ก็อาจทำให้มันเสียชีวิตได้เลยเช่นกัน นอกจากนี้ เห็บที่แสนสกปรกอาจเป็นสัตว์พาหะที่นำโรคต่าง ๆ มาสู่สุนัขของเราได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคพยาธิในเม็ดเลือด โรคอัมพาตจากเห็บ โรคลายม์ หรือเกิดการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น
    แล้วกับมนุษย์อย่างเราๆละ เจ้าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านี้จะสามารถทำร้ายอะไรเราได้หรือไม่
    หลายคนอาจมีคำถามว่า ‘เห็บกินเลือดคนได้หรือไม่’ ก็ต้องตอบว่า ‘ได้’ แต่เกิดได้ไม่บ่อยนัก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ เห็บสุนัขเติบโตมาจากการดูดกินเลือดสุนัข และสารอาหารที่อยู่ในเลือดสุนัขก็เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญที่ทำให้เห็บเหล่านี้เจริญเติบโตได้ดี ในขณะที่เลือดของคนไม่มีผลมากพอที่จะทำให้เห็บเหล่านี้เจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์พอที่จะขยายพันธุ์ได้ แต่แม้ว่าเห็บจะไม่เจริญเติบโตในร่างกายของคนเรา แต่การที่เห็บสุนัขกัดและดูดกินเลือดของเรา ก็อาจทำให้บางคนเกิดอาการแพ้ เป็นผื่นคัน หรือมีไข้ได้เหมือนกัน
     ‘เห็บสามารถอาศัยอยู่ในโพรงจมูกของคนได้จริงหรือ’
ต้องขอบอกก่อนว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีโฮสต์เป็นของตัวเอง อย่างเช่นเห็บสุนัขก็มักจะขึ้นบนตัวสุนัขมากกว่าที่จะพบในสัตว์อื่นๆ แต่ถ้าหากถามว่า แล้วมันมีโอกาสที่จะย้ายที่ไปสู่คนได้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ได้” อย่างแน่นอน แต่โอกาสที่จะพบนั้นค่อนข้างน้อยมาก และมักจะพบอยู่ตามผิวหนังหรือใบหูมากกว่าที่จะไปพบในโพรงจมูก อีกทั้งจมูกของเราก็มีระบบการป้องกันตัวเองที่ดีอยู่แล้ว หากมีอะไรบางอย่างที่เข้ามาทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุโพรงจมูก สมองก็จะสั่งให้ร่างกายจามออกมา เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นนั่นเอง
    แล้วนอกจากที่มันมีโอกาสอาศัยตามผิวหนังเราแล้ว ‘เห็บจะสามารถฝังตัวเข้าไปวางไข่ใต้ผิวหนังของคนได้จริงหรือไม่’ คำถามนี้ต้องตอบว่าโอกาสที่จะเป็นไปได้นั้นแทบไม่มีเลย เนื่องจากโดยปกติแล้ว เห็บตัวเมียที่ผสมพันธุ์และดูดเลือดจนอิ่มแล้ว มักจะเคลื่อนที่ลงจากโฮสต์ และมาวางไข่ตามพื้นที่มีกำบังมากกว่า ดังนั้นจึงมักเห็นเห็บอยู่ตามซอกพื้น แยกไม้ กำแพง มากกว่าจะเห็นมันอยู่ใต้ผิวหนังของสิ่งมีชีวิต
    อย่างไรก็ตาม ถ้ากลัวว่า เห็บเหล่านี้จะทำอันตรายต่อร่างกายของคุณ ก็ต้องหมั่นรักษาความสะอาดของน้องหมาสุดที่รักของคุณให้ดี และต้องไม่ลืมที่จะใช้ผลิตภัณฑ์กำจัดเห็บ เพื่อทำลายสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วเหล่านี้ ก่อนที่มันจะมาทำร้ายสุนัขแสนหวงหรือมาทำร้ายร่างกายของเราได้ ส่วนใครที่คิดจะเอามือบีบบี้เห็บเหล่านี้ให้กลายเป็นผุยผง ก็ต้องบอกไว้เลยว่า การที่เราบี้มันจนแบนจะส่งผลให้ตัวเมียที่มีไข่ กระจายไข่ในตัวมันออกมา และเป็นผลให้เกิดการแพร่พันธุ์ของเห็บที่มากขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ต้องอย่าลืมที่จะศึกษาวิธีการกำจัดเห็บให้ถูกต้องเสียด้วย เพื่อที่จะได้แน่ใจว่า การกำจัดเห็บที่เราทำอยู่ จะไม่เห็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงของเราจริงๆ
เห็บ...วายร้ายใกล้ตัวคุณ

      และแม้ว่าเราจะแน่ใจแล้วว่า น้องหมาปราศจากเห็บจริงๆแล้ว ก็ไม่ควรที่จะพามันมานอนร่วมเตียงด้วยบ่อยๆ แต่ควรแยกที่นอนของพวกมันให้เป็นสัดเป็นส่วนเสียมากกว่า เพราะนอกจากเห็บที่เราต้องระวังแล้ว ก็ยังมีโรคอื่นๆที่สัตว์เหล่านี้สามารถถ่ายทอดมาสู่คนได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส ที่อาจได้รับมาจากน้ำลาย สารคัดหลั่ง อุจจาระ หรือปัสสาวะ ซึ่งก็ถือเป็นอันตรายที่นำพาโรคพิษสุนัขบ้า โรคฉี่หนู โรคเชื้อราขี้กลาก โรคกาฬโรคปอด หรือแม้แต่หนอนพยาธิในทางเดินอาหาร มาสู่ตัวเราได้เช่นกัน
    สุนัขแสนรักและเจ้านายจะปลอดภัยจากการโจมตีของเห็บได้ หากเรามีการดูแลความสะอาดของสัตว์เลี้ยงของเราอย่างดี และหมั่นตรวตตราดูว่าสุนัขของเรามีอาการผิดปกติอะไรบ้างหรือไม่ หากมีอาการผิดปกติใดๆ ผู้เลี้ยงจะได้สามารถแก้ไขได้ทัน และไม่ปล่อยให้สุนัขแสนรู้ของคุณกลายเป็นพาหะที่นำเชื้อโรคมาสู่คุณหรือคนที่คุณรักได้

------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค   http://www.facebook.com/HealthyThailandCenter    
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์   http://line.me/ti/p/%40HealthyThailand
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม  http://goo.gl/oogIL8


ทักทาย แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น