ผื่นบนใบหน้า…รักษาได้
ความสวยงามบนใบหน้าไม่ได้ขึ้นอยู่เฉพาะการมีลักษณะของอวัยวะที่เข้ากันเท่านั้น แต่ความเรียบเนียนของผิว ก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คุณดู “สวย” หรือ “ไม่สวย” ได้ด้วย ตราบใดที่คุณสามารถรักษาผิวหน้าให้เรียบเนียนไร้รอยผื่น สิว ฝ้า หรือกระ ก็ย่อมจะช่วยให้คุณสามารถเพิ่มความสวยในตัวคุณได้อย่างแน่นอน
หนึ่งในปัญหาที่สาวๆและหนุ่มๆไม่อยากเจอ ก็คือ “ผื่น” ที่นอกจากจะทำให้คุณดูไม่สวยแล้ว ยังสร้างความน่ารำคาญใจให้เกิดขึ้นกับคุณอย่างมากมาย ผื่นมักเกิดขึ้นกับคุณเสมอ บางครั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเพราะเหตุผลใด แต่ที่รู้ๆก็คงจะเป็นสถานการณ์ที่ทำใจยอมรับได้อย่างยากลำบากแน่ๆ อะไรคือสาเหตุของผดผื่นที่น่ากังวลใจเหล่านี้ และจะต้องใช้วิธีการใดในการแก้ไขให้หายไปจากใบหน้า เรามาไขความลับไปพร้อมๆกันได้เลยค่ะ
สิ่งแรกที่สำคัญที่จะทำให้คุณสามารถต่อสู่กับผดผื่นเหล่านี้ได้อย่างชนะขาด คือ การพยายามทำความเข้าใจเสียก่อนว่า เจ้าผื่นเหล่านี้เกิดมาจากเหตุผลใด อะไรคือตัวการสำคัญที่ทำให้มันยังมีอยู่และไม่หายไปจากใบหน้าของเราเสียที เพราะถ้าคุณรู้ได้ก่อนย่อมจะช่วยให้สามารถรักษาได้หายขาดเร็วกว่าใคร
คณะแพทยศาสตร์ ระบุว่า ผื่นที่หน้า เกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยมักจะมีลักษณะเป็นผื่นแดงเล็กๆคล้ายผดบริเวณใบหน้า อาจมีอาการคันหรือไม่ก็ได้ เวลาที่ใช้มือลูบหรือสัมผัสจะรู้สึกถึงความสากที่ผิวหน้า อาจมีอาการแสบคัน ระคายเคือง ไวต่อแสงแดดและเหงื่อได้ด้วย ผื่นลักษณะนี้ถือเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากในปัจจุบัน และส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากผิวหนังบริเวณใบหน้าของผู้หญิงจะมีโอกาสสัมผัสกับสารต่างๆได้นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอาง หรือ ครีมบำรุงผิวต่างๆ หากสารที่ทาลงไปบนใบหน้าไม่ถูกกับผิวหน้าของคนนั้นๆ ก็จะทำให้เกิดเป็นผื่นแดงที่สามารถพบเห็นบนใบหน้าได้บ่อยๆ และกลายเป็นปัญหาในการวินิจฉัยและการรักษาที่ผู้ป่วยโรคผิวหนังส่วนใหญ่เป็นกันมากในปัจจุบันนี้นี่เอง
คณะแพทยศาสตร์ ระบุว่า ผื่นที่หน้า เกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยมักจะมีลักษณะเป็นผื่นแดงเล็กๆคล้ายผดบริเวณใบหน้า อาจมีอาการคันหรือไม่ก็ได้ เวลาที่ใช้มือลูบหรือสัมผัสจะรู้สึกถึงความสากที่ผิวหน้า อาจมีอาการแสบคัน ระคายเคือง ไวต่อแสงแดดและเหงื่อได้ด้วย ผื่นลักษณะนี้ถือเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากในปัจจุบัน และส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากผิวหนังบริเวณใบหน้าของผู้หญิงจะมีโอกาสสัมผัสกับสารต่างๆได้นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอาง หรือ ครีมบำรุงผิวต่างๆ หากสารที่ทาลงไปบนใบหน้าไม่ถูกกับผิวหน้าของคนนั้นๆ ก็จะทำให้เกิดเป็นผื่นแดงที่สามารถพบเห็นบนใบหน้าได้บ่อยๆ และกลายเป็นปัญหาในการวินิจฉัยและการรักษาที่ผู้ป่วยโรคผิวหนังส่วนใหญ่เป็นกันมากในปัจจุบันนี้นี่เอง
ลักษณะของผื่นที่ขึ้นบนใบหน้า สามารถแบ่งแยกออกได้หลากกลายลักษณะ และหลากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีผลต่อการเกิดผื่นที่แตกต่างๆกันออกไป ดังต่อไปนี้
1.ผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน (Seborrheic dermatitis) มีลักษณะเป็นผื่นแดงคัน มีขุยสีเหลืองเป็นมัน มักพบบริเวณข้างจมูก คิ้ว ใบหู และหนังศีรษะที่มีรังแค
2.ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีผิวแห้ง มีผื่นแดงคัน บริเวณใบหน้า คอ ข้อพับของแขนและขา พบในผู้ป่วยที่มีประวัติกรรมพันธุ์เป็นโรคในกลุ่มภูมิแพ้ เช่น แพ้อากาศ คันตา หอบหืด เป็นต้น
3.ผื่นแพ้สัมผัส (Allergic contact dermatitis) เกิดมีผื่นแดง ผิวหน้าคันอักเสบบริเวณที่สัมผัสกับสารที่แพ้ เช่น เครื่องสำอาง ส่วนมากมักเกิดอาการหลังใช้เครื่องสำอางหรือสารที่แพ้ ประมาณ 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน
4.ผื่นระคายสัมผัส (Irritant contact dermatitis) เกิดขึ้นกับคนที่สัมผัสสารมีฤทธิ์ก่อระคายปริมาณมากและระยะเวลานานพอ พบผื่นแดงอักเสบที่มีขอบเขตชัดเจนในบริเวณที่มีการสัมผัส ซึ่งจะมีอาการบวม แดง ร่วมด้วย นอกจากนี้ อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบเป็นกรดวิตามินเอ กรดผลไม้ หรือสารที่มีฤทธิ์ลอกผิวต่อเนื่องเวลานาน
5.ผื่นสัมผัสจากสารร่วมกับแสง (Photocontact dermatitis) มีการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น ครีมกันแดด น้ำหอม ร่วมกับโดนแสงแดด ซึ่งจะพบผื่นอักเสบได้บริเวณที่ได้รับแสงนอกร่มผ้า เช่น ใบหน้า หน้าอก แขน
6.ผื่นผิวหนังอักเสบชนิด Rosacea พบมากในคนผิวขาว จะมีอาการหน้าแดง ตุ่มแดงอักเสบ ตุ่มหนอง หลอดเลือดฝอยขยายที่บริเวณใบหน้า มักมีประวัติว่าเป็นผื่นมากขึ้นเมื่อโดนความร้อน แสงแดด มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
1.ผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน (Seborrheic dermatitis) มีลักษณะเป็นผื่นแดงคัน มีขุยสีเหลืองเป็นมัน มักพบบริเวณข้างจมูก คิ้ว ใบหู และหนังศีรษะที่มีรังแค
2.ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีผิวแห้ง มีผื่นแดงคัน บริเวณใบหน้า คอ ข้อพับของแขนและขา พบในผู้ป่วยที่มีประวัติกรรมพันธุ์เป็นโรคในกลุ่มภูมิแพ้ เช่น แพ้อากาศ คันตา หอบหืด เป็นต้น
3.ผื่นแพ้สัมผัส (Allergic contact dermatitis) เกิดมีผื่นแดง ผิวหน้าคันอักเสบบริเวณที่สัมผัสกับสารที่แพ้ เช่น เครื่องสำอาง ส่วนมากมักเกิดอาการหลังใช้เครื่องสำอางหรือสารที่แพ้ ประมาณ 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน
4.ผื่นระคายสัมผัส (Irritant contact dermatitis) เกิดขึ้นกับคนที่สัมผัสสารมีฤทธิ์ก่อระคายปริมาณมากและระยะเวลานานพอ พบผื่นแดงอักเสบที่มีขอบเขตชัดเจนในบริเวณที่มีการสัมผัส ซึ่งจะมีอาการบวม แดง ร่วมด้วย นอกจากนี้ อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบเป็นกรดวิตามินเอ กรดผลไม้ หรือสารที่มีฤทธิ์ลอกผิวต่อเนื่องเวลานาน
5.ผื่นสัมผัสจากสารร่วมกับแสง (Photocontact dermatitis) มีการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น ครีมกันแดด น้ำหอม ร่วมกับโดนแสงแดด ซึ่งจะพบผื่นอักเสบได้บริเวณที่ได้รับแสงนอกร่มผ้า เช่น ใบหน้า หน้าอก แขน
6.ผื่นผิวหนังอักเสบชนิด Rosacea พบมากในคนผิวขาว จะมีอาการหน้าแดง ตุ่มแดงอักเสบ ตุ่มหนอง หลอดเลือดฝอยขยายที่บริเวณใบหน้า มักมีประวัติว่าเป็นผื่นมากขึ้นเมื่อโดนความร้อน แสงแดด มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
หลังจากที่เรารู้แล้วว่าผื่นที่คุณกำลังเป็นอยู่เกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ คุณก็จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้โดยง่ายมากขึ้นกว่าเดิม และไม่เป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด นอกจากนี้ ระหว่างการรอให้ผื่นหาย ควรอย่างยิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยง “สารก่อภูมิแพ้” ที่อาจมีผลให้เกิดผื่นขึ้นที่ใบหน้ามากขึ้นไปกว่าเดิม วิธีการหลีกเลี่ยงสาก่อภูมิแพ้มีอยู่หลายวิธี เช่น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง สบู่ล้างหน้า หรือครีมบำรุงผิวหน้าที่เหมาะสมกับใบหน้า ปราศจากสารกันเสีย น้ำหอม สารลาโนลิน (Lanolin) หรือสารที่ทำให้เกิดฟอง (Cocamidopropyl betaine) หรือพยายามทำความสะอาดโลหะและแผ่นยางที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง เช่น โลหะในถาดแป้ง ขอบแปรงที่ทาตาและปาก แผ่นยางที่ใช้เป็นพัฟทาหน้า เพื่อป้องกันการเกิดผดผื่น ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยแก้ไขปัญหาที่น่าหนักใจนี้ไปได้
ที่สำคัญคือ
ควรหยุดใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิว ที่ต้องสงสัยว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผื่นโดยทันที เนื่องจากการใช้สารที่แพ้ต่อไปเรื่อยๆ จะยิ่งทำให้ผื่นลุกลามมากขึ้นไปกว่าเดิม โดยคุณอาจจะต้องทดสอบเสียก่อนว่าเครื่องสำอางชนิดนั้นทำให้ผิวหนังคุณแพ้หรือไม่ โดยทาเครื่องสำอางที่สงสัยลงไปที่บริเวณท้องแขน ถ้ามีผื่นขึ้นก็ให้หยุดใช้เครื่องสำอางนั้นๆทันที พร้อมกับนำผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยไปให้คุณหมอวินิจฉัยด้วย เพียงเท่านี้คุณก็ปลอดภัยจากการเกิดผดผื่นไปได้แล้วละค่ะ
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค http://www.facebook.com/HealthyThailandCenter
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40HealthyThailand
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://goo.gl/oogIL8
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น