ธาลัสซีเมีย พ่อ-แม่ใครเป็นพาหะ
แฟ้มภาพ
ไขสงสัยคนไทยป่วยธาลัสซีเมีย อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตหากลูกในท้องมีอาการผิดปกติ พ่อแม่มือใหม่ควรตรวจเลือดก่อนแต่งให้แน่ใจว่าเป็นพาหะก่อโรคมีลูกได้หรือไม่
ความสงสัยของใครๆ หลายคนที่ยังไม่ทราบว่า “โรคธาลัสซีเมีย” ทำไมบางคนถึงเป็นโรค บางส่วนรักษาไม่หาย อาการทรุดและแย่ลงทุกวัน แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้เช่นคนปกติ วันนี้เราจะพามาไขคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้หายสงสัยกันไปเลย
คำอธิบายยืนยันจากแพทย์ ระบุว่า “โรคธาลัสซีเมีย” เป็นโรคทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปยังลูกได้ ซึ่ง นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีการแตกตัวเร็วกว่าปกติ ทำให้ตัวซีด สุขภาพอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย ต้องให้เลือด หรือกินยาตลอดชีวิต และส่งผลให้มีปัญหาในการทำงาน หรือการเรียน หากเป็นรุนแรงจะเสียชีวิตได้
โอกาสที่เด็กจะเกิดมาและเป็นโรคนี้ตั้งแต่กำเนิด มีมากน้อยเพียงใด?
คำตอบ คือหญิงตั้งครรภ์และสามีที่เป็น “พาหะโรคธาลัสซีเมีย” ร้อยละ 25 ลูกในครรภ์จะมีโอกาสเป็น “โรคธาลัสซีเมีย” และหากลูกในครรภ์มีภาวะทารกบวมน้ำ (hydropsfatalis) หญิงตั้งครรภ์ถึงร้อยละ 80 จะมีโอกาสครรภ์เป็นพิษ มีอาการบวมและความดันโลหิตสูงและอาจเสียชีวิตได้
แต่อย่างไรก็ดี “โรคธาลัสซีเมีย” สามารถป้องกันด้วยวิธี 3 เลือก โดยอันดับแรก เริ่มจากการ “เลือกคู่” หญิง-ชายวัยเจริญพันธุ์ ควรเข้ารับการตรวจเลือด หากพบว่าเป็นพาหะโรคธาลัสซีเมีย ให้หลีกเลี่ยงการแต่งงานกับผู้ที่เป็นพาหะชนิดเดียวกัน
เลือกถัดมา คือ “เลือกครรภ์” หากคู่สมรสที่เป็นพาหะประสงค์จะแต่งงานกัน ควรหลีกเลี่ยงการมีลูกด้วยการวางแผนครอบครัว แต่หากต้องการมีลูกต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ และเลือกสุดท้าย คือ “เลือกคลอด” หากคู่สมรสรู้ว่าลูกในท้องเป็น “โรคธาลัสซีเมีย” ต้องเข้ารับการปรึกษาเสนอทางเลือกในการมีลูกที่ปลอดโรคและปลอดภัย
“การเข้ารับบริการในโรงพยาบาลของรัฐช่วงตั้งครรภ์ของหญิงตั้งครรภ์และสามี จะได้รับบริการฟรีตามชุดสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งหญิงตั้งครรภ์ต้องรีบไปฝากครรภ์ทันที และขอรับการตรวจวินิจฉัยทารกในครรภ์ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ เพื่อป้องกันการมีบุตรที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย”
ผู้ที่เป็น “โรคธาลัสซีเมีย” จะมีอยู่ 2 กลุ่ม ได้แก่ “กลุ่มที่เป็นพาหะ” จะมีสุขภาพแข็งแรงปกติและสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่จะมีความผิดปกติ คือ มีพันธุ์ธาลัสซีเมียแฝงอยู่ และอาจถ่ายทอดสู่ลูกหลานได้ แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าตนเองเป็นพาหะของโรคหรือไม่ ก็ต้องไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลเท่านั้น
ส่วน “กลุ่มที่เป็นโรค” จะแสดงอาการให้เห็นชัดเจน เช่น ซีด ตาเหลือง อ่อนเพลีย ท้องป่อง ตับและม้ามโต ซึ่งจะต้องได้รับเลือดเป็นประจำทุกเดือน โดยความรุนแรงของโรคมี 3 กลุ่ม คือ กลุ่มอาการรุนแรงน้อย ตัวจะซีดเหลืองเล็กน้อย เจ็บป่วยบ่อย และมีอาการดีซ่าน ซึ่งต้องให้เลือดทุกครั้งที่เจ็บป่วย
ที่ต้องระวัง คือ กลุ่มอาการรุนแรงมาก แรกเกิดอาจจะยังไม่มีอาการ แต่จะแสดงเมื่ออายุ 3-6 เดือน โดยเด็กทารกจะตาเหลือง อ่อนเพลีย ตัวเตี้ย แคระแกรน ตัวเล็กและม้ามโต มีการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า หน้าผากตั้งชัน โหนกแก้มสูง ดั้งจมูกแบน ฟันยื่น ยิ่งอายุมากยิ่งเห็นชัด ต้องให้เลือดบ่อยๆ ถ้าไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่องจะเสียชีวิตได้
แต่ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด คือ “กลุ่มอาการรุนแรงสุด” ทารกจะมีอาการบวมน้ำ คลอดลำบาก ซีด ตับและม้ามโต ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตในท้อง หรือหลังคลอด และแม่มีโอกาสครรภ์เป็นพิษ บวม ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ และอาจเสียชีวิตได้
“คนที่เป็นโรคควรกินอาหารครบ 3 มื้อ ทั้งข้าว เนื้อสัตว์ ไข่ และไขมัน แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด เค็มจัด และอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ เลือด กินผักทุกมื้อ มื้อละ 1 ทัพพี และกินผลไม้ทุกวัน ดื่มนมวันละ 2-3 กล่อง นอนหลับอย่างน้อยวันละ 6-8 ชม. และออกกำลังกายทุกวัน วันละ 15-30 นาที เท่าที่ทำได้ ไม่เหนื่อยมากเกินไป”
สิ่งสำคัญ...ใครที่กำลังวางแผนจะผลิตทายาท “เจ้าตัวน้อย” หรือใครที่เป็น “พ่อแม่มือใหม่” แล้ว รวมไปถึง “คู่รัก” ทั้งหลายที่อาจจะกำลังวิตกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อรู้วิธีป้องกันแต่เนิ่นๆ และลองสังเกต หรือพิจารณาตามคำแนะนำดีๆ ของคุณหมอในเบื้องต้นก่อนก็จะดีไม่ใช่น้อย.
------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเราเป็นเพื่อนเฟสบุค http://www.facebook.com/HealthyThailandCenter
ติดตามกูรูด้านสุขภาพทางไลน์ http://line.me/ti/p/%40HealthyThailand
สนใจสินค้าสุขภาพและความงาม http://goo.gl/oogIL8
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น